"ศาลปกครองกลาง" สั่งเพิกถอน ประกาศสำนักนายกฯ แต่งตั้งข้าราชการ ตร.
"ศาลปกครองกลาง" พิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักนายกฯ เรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 7 ก.ย.65 ระดับ รอง ผบ.ตร.- ผบก. เฉพาะในส่วนที่ไม่แต่งตั้ง รอง ผบช.ภ.8 ขึ้น ผบช. โดยมิชอบ อยู่ในช่วงที่ "บิ๊กป้อม"นั่งประชุมลงมติ เเทน บิ๊กตู่ ระหว่างถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
"ศาลปกครองกลาง" ศาลมีคำพิพากษาคดีที่ พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8 ยื่นฟ้องคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ "ก.ตร." และ "นายกรัฐมนตรี" เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย
กรณีผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการ"ตำรวจ" ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และเป็นผู้มีรายชื่อประกาศลำดับอาวุโส ข้าราชการตำรวจระดับรองผู้บังคับการถึงจเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 2โดยผู้ฟ้องคดีอยู่ในอาวุโสลำดับที่ 24 ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณา แต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นระดับยศชั้นพลตำรวจ วาระประจำปี 2565
แต่ในคราว การประชุม เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2565 มีวาระ การประชุมเรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงมาถึงผู้บังคับการ ปรากฏว่าไม่มีรายชื่อของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
ผู้บัญชาการ
โดยในเวลาต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2ได้นำมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่เห็นชอบแต่งตั้ง ข้าราชการตำรวจตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงมาถึงผู้บังคับการ นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ โดยไม่มีรายชื่อผู้ฟ้องคดีเป็นได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้
ผู้ฟ้องคดีอ้างว่ามติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เข้าร่วมการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก ในวันดังกล่าว พล.อ.ประวิตร เป็นผู้รักษาราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อันเป็นผลมาจากกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 24 ส.ค.2565 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยซึ่งตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดไว้ว่า ในระหว่างการรักษาราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ผู้รักษาราชการแทนจะสั่งการใดเกี่ยวกับการ บริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2ได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เสียก่อน ดังนั้น พล.อ.ประวิตร ในฐานะ รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงไม่มีอำนาจสั่งการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลโดยที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 หรือคณะรัฐมนตรีเสียก่อน
โดยเมื่อวันที่ 29 ส.ค.มีวาระการประชุมเรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงมา ถึงผู้บังคับการ ซึ่งเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ดังนั้น พล.อ.ประวิตร ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2จึงไม่มีอำนาจ ในการเรียกประชุมผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่มีอำนาจเข้าประชุมในฐานะประธานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1รวมทั้งไม่มีอำนาจในการพิจารณามีมติหรือรับรองมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1ในวาระการประชุม เรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงผู้บังคับการ ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น มติ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าในเวลาต่อมา ครม.จะได้มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2โดยให้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และมีอำนาจ หน้าที่ในการเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการหรือองค์กรใดโดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่าให้มีผลตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.ก็ตาม ก็เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายในเวลาภายหลังจากที่ พล.อ.ประวิตร ได้เข้าร่วมการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เมื่อวันที่ 29 ส.ค.เเล้ว
ซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นกรณีที่ไม่สามารถมอบอำนาจย้อนหลังได้ นอกจากนี้ ในการแต่งตั้งยังไม่ปรากฏรายชื่อของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับแต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งทั้ง ๆ ที่ ผู้ฟ้องคดีมีลำดับอาวุโสกว่าข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้หลายคน ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
1.เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2565 ในระเบียบวาระการประชุม เรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงมาถึงผู้บังคับการ 2565 ทั้งหมด
2.เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เฉพาะกรณีที่ไม่มี การพิจารณารายชื่อผู้ฟ้องคดีให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น
3.ให้มีการเรียกประชุมผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อพิจารณาและมีมติแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงผู้บังคับการ 2565 ใหม่ ให้ถูกต้อง ตามกฎหมายโดยเร็ว
4.ให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และให้ศาล มีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น
5.ให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีโดยเร่งด่วนตามระเบียบของ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด พร้อมทั้งคำขออื่นๆอีก
โดยศาลปกครองพิจารณาเเล้วเห็นว่าการที่พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เข้าร่วมประชุมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1ในฐานะประธานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะเป็น การสั่งการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป โดยเมื่อ พล.อ.ประวิตร รักษาราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ย่อมทำให้ เข้าร่วมประชุมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 นอกจากจะมีฐานะเป็นประธานแล้ว จึงมีฐานะเป็น ผู้บังคับบัญชาของข้าราชการตำรวจด้วย การเข้าร่วมการประชุมย่อมมีผล ต่อการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่1 ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง อีกทั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้พิจารณา ให้ความเห็นชอบข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีอำนาจ ที่จะไม่เห็นชอบหรือเห็นชอบได้ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขรายชื่อ เพื่อแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้ การให้ความเห็นชอบ หรือไม่ให้ความเห็นชอบ สืบเนื่องมาจากมติกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่เข้าร่วมประชุมในวันนั้น
เมื่อ พล.อ.ประวิตร เข้าร่วมประชุมด้วย ไม่ปรากฏว่า พล.อ.ประวิตร คัดค้านหรือไม่ให้ความเห็นชอบ จึงถือว่าพล.อ.ประวิตร ในฐานะรักษาราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และในฐานะประธานซึ่งมีอำนาจออกคะแนนเสียงได้ใช้สิทธิออกเสียงมีมติเห็นชอบกับการพิจารณา เห็นชอบข้าราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นด้วย ในคำสั่งฉบับที่สามได้ระบุว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 30 ส.ค. มอบหมายให้พลเอก ประวิตร มีอำนาจหน้าที่ทุกประการ โดยกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติในครั้งใหม่นี้เป็นการยกเลิก การกำหนดเงื่อนไขหรือสงวนอำนาจไว้ในคำสั่งฉบับที่สอง ยิ่งทำให้เห็นว่าคำสั่งฉบับที่สองมีการกำหนด เงื่อนไขหรือสงวนอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2ไว้ จึงมีการออกคำสั่งฉบับที่สามเพื่อให้ พล.อ.ประวิตร มีอำนาจเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล
การที่ พล.อ.ประวิตร มีมติเห็นชอบให้ข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น ถือได้ว่าได้เข้าไปเกี่ยวข้อง กับการสั่งการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจในการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในคราวการประชุม เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2565 โดยที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2ยังไม่ได้ให้ความเห็นชอบให้ พล.อ.ประวิตร ผู้ซึ่งรักษาราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีอำนาจ สั่งการเกี่ยวกับบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจแต่อย่างใด จึงทำให้มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่เห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในการประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้ออ้างผู้ฟ้องคดีฟังได้
พิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 7 ก.ย.2565 อันสืบเนื่องจากมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1ในคราวการประชุมครั้งที่ 8/2565เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2565 ที่เห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติลงมาถึงผู้บังคับการ เฉพาะในส่วนที่ไม่มีรายชื่อของผู้ฟ้องคดี ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมีผลใช้บังคับ และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะต้องไปพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเฉพาะในส่วนของผู้ฟ้องคดีให้ถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
ติดตาม คมชัดลึก ได้ที่ YouTube: https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w