"แม่น้องโชค" คาใจ ตำรวจบอกลูกถูกปืนลั่นใส่หัว เชื่อ "จ่อยิง"

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. น.ส.ปวีณา งามสุด อายุ 35 ปี แม่ของ "น้องโชค" เด็กนักเรียนม.3 ที่ถูกยิงเสียชีวิตคาห้องคอมพิวเตอร์ ในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านนนทบุรี พร้อมด้วย นายเกียรติคุณ ต้นยาง ทนายความ หรือทนายโป้ง เข้ายื่นหนังสือที่กระทรวงยุติธรรม หลังจากยังติดใจการเสียชีวิตของลูกชาย

น.ส.ปวีณา เปิดเผยว่า วันนี้มาเพื่อขอให้กระทรวงยุติธรรมหาความจริงเพิ่มเติมให้ รวมถึงขอให้ทางนิติวิทยาศาสตร์เข้าไปจำลองเหตุการณ์ หลังเมื่อวานนี้ได้เข้าไปดูคลิปจากกล้องวงจรปิดที่ สภ.บางบัวทอง ซึ่งมีบางช่วงเวลาที่หายไป ประมาณ 1.30 ชั่วโมง

ด้านทนายโป้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดูกล้องวงจรปิดแล้ว ไปสอบถามพนักงานสอบสวน ทราบว่า ในห้องที่เกิดเหตุ ไม่มีกล้องวงจร มีเพียฃ กล้องหน้าห้องและรอบโรงเรียน ซึ่งทางเราได้ร้องขอคลิปตั้งแต่ช่วงเวลา 8.00 - 17.00 น. ไล่ตั้งแต่น้องผู้เสียชีวิตเริ่มเข้าโรงเรียน ไปจนถึงก่อเกิดเหตุ และช่วงบ่ายโมงผู้ก่อเหตุนำปืนไปให้รุ่นพี่ จากนั้นนำไปทิ้ง

ซึ่งคลิปที่ตำรวจเปิดให้ดู เป็นช่วงที่ "น้องโชค" เข้ามาในโรงเรียน และช่วงพักเที่ยง เล่นกับเพื่อนและผู้ก่อเหตุบริเวณรั่วโรงเรียน จากนั้นภาพตัดไปที่ช่วงบ่ายโมงน้องโชคเดินเข้าห้องคอมพิวเตอร์ และสักพักผู้ก่อเหตุเดินตามเข้าไป เพียง6วินาที เสียงปืนลั่น 1 นัด ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะเดินออกมาด้วยท่าทีลังเล และเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง และเดินออกจากห้องเพื่อนำปืนไปให้รุ่นพี่ 

ซึ่งข้อสังเกตคือ ช่วงเวลาที่หายไป เกิดอะไรขึ้นกับน้องโชค มีเหตุจูงใจอะไรหรือไม่ เพราะมั่นใจว่า ผู้ก่อเหตุ ถือปืนมือขวา เนื่องจากระหว่างสอบกำมือขวาตลอดเวลา 

ทั้งนี้การสืบสวนสอบสวน ไม่มองว่า เข้าข้างใคร แต่มองว่า หากบอกว่าเป็น ปืนลั่น หรือ อุบัติเหตุ จะทำให้ปิดคดีเร็วเกินไปหรือไม่ เพราะสิ่งที่เห็นเหมือนเป็นการเตรียมตัวมาล่วงหน้า การนำปืนเข้าโรงเรียนทำไม่ได้ง่ายๆ ในส่วนนี้ทางครอบครัวยังไม่ได้รับคำตอบ จึงอยากให้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เข้าไปร่วมจำลองเหตุการณ์ ว่า วิถีกระสุน พยาน กล้องวงจรปิด ความจริงเป็นอย่างไร หากยังไม่คลายความสงสัย ครอบครัวยืนยัน จะไม่ฌาปนกิจศพน้องโชค 

ด้าน ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ แม่ของน้องโชค ติดใจ 3 ประเด็น คือ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุ มาจากคู่กรณี หรือ ปืนตก หรือ ปืนลั่น เบื้องต้นผลของสถาบันนิติวิทยศาสตร์ พบว่า กระสุนเข้าหัว ทะลุท้ายทอย ส่วนร่างกายไม่พบการต่อสู้หรือทำร้ายร่างกาย ส่วนผลพิสูจน์หลักฐานอย่างละเอียดต้องรอจากสำนักงานตำแห่งชาติอีกครั้งว่า เขม่าปืนที่มือของผู้ก่อเหตุหรือไม่ หากพบเขม่าปืน ทางสืบสวนจะต้องมาวิเคราะห์ สาเหตุและแรงจูงใจกันอีกครั้ง หากไม่พบก็ดำเนินการตามกฎหมาย  

นอกจากนี้กรณีดังกล่าว กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้รับเรื่องและจะแจ้งให้ครอบครัวทราบถึงสิทธิที่จะได้รับในฐานะผู้เสียหาย