'ครูปรีชา'แจ้งจับ กลุ่มฉกสำนวนหวย 30 ล้าน ทำแพ้คดี | คมชัดลึก

จากกรณีมหากาฬ 'ลอตเตอรี่ 30 ล้าน' ที่เริ่มจากการยื่นฟ้องหมวดจรูญ โดยครูปรีชากล่าวหาว่าขโมยสลากกินแบ่งฯ ที่หมายเลขถูกรางวัล 30 ล้านของตัวเองไป ซึ่งศาลชั้นต้น-อุทรณ์ยกฟ้องไปแล้ว โดยระบุชัดว่าสลากดังกล่าวไม่ใช่ของครูปรีชา และอยู่ในระหว่างการยื่นฎีกาต่อศาล

ล่าสุด วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือ ครูปรีชา พร้อมนายวรยุทธ บุญวงษ์ใส่ ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพื่อแจ้งความเอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความและ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ และกลุ่มบุคคลที่มีการนำเอกสารของการดำเนินคดีฝ่ายตนเองไปเผยแพร่และนำไปใช้ต่อสู้ในชั้นศาล

นายปรีชา กล่าวถึงการเดินทางมาที่กองปราบในวันนี้ว่า เนื่องจากได้รับการประสานจากพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 5 กองปราบปราม ให้แจ้งความหลังมีการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนก่อนหน้านี้แล้วพบว่ามีมูลจริงตามที่เคยร้องเรียนไป เมื่อปี 2562 จริง ซึ่งการดำเนินคดีกับกลุ่มคนเหล่านี้เนื่องจากมีการนำพยานหลักฐานสำคัญในคดีหวย 30 ล้านออกไปจากสำนวน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อสู้ในชั้นไตร่สวนมูลฟ้อง และสามารถซักค้านตนเองได้ทั้งหมดในศาล ซึ่งตนเองมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม 

ทั้งนี้นายปรีชา ยังยืนยันว่าลอตเตอรี่เป็นของตนเอง และการที่หมวดจรูญอ้างว่า  "จำหน้าคนขายไม่ได้นั้น เพราะไม่มีหน้าคนขายให้จำ"  ส่วนคดีหลักขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นฎีกา พร้อมย้ำสโลแกนประจำตัว  "ความจริงก็คือความจริง " 

ด้านนายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความ เผยว่า เดิมที่สำนวนคดีหวย 30 ล้าน พนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค7 เป็นผู้ทำสำนวน ก่อนส่งต่อให้กองปราบฯ  ภายหลังพบว่าสำนวนที่กองปราบฯ เป็นผู้ดูกลับหลุดไปถึงมือบุคคลภายนอก ทำให้ครูปรีชาร้องเรียนไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าการสอบสวนเรื่องน่าจะมีความชัดเจนขึ้น ทางเจ้าหน้าที่จึงประสานให้เข้าแจ้งความในวันนี้ 

ในส่วนของคดีหวย 30 ล้าน  ที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินก่อนหน้านี้ อยู่ระหว่างการยื่นฎีกาต่อศาล ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งครูปรีชายังติดใจเรื่องเอกสารข้อมูลที่หลุดรอดไปยังติดใจ จึงเข้าแจ้งความเอาผิดกับกลุ่ม  

ส่วนจะมีผลต่อการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาหรือไม่นั้น เป็นดุลยพินิจของศาลในการพิจารณาว่า หลักฐานที่กองปราบเอาไปเบิกความทั้งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ จะยังมีความเชื่อถือหรือไม่ เพราะขนาดสำนวนที่ตนเองทำยังหลุดออกไปได้