
"ทนายตั้ม" ออกโรงแนะให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าผมเป็นทนาย "ครูจุ๋ม" ผมจะทำแค่ 4 ข้อนี้เท่านั้น
"ทนายตั้ม" ออกโรงแนะให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าผมเป็นทนาย "ครูจุ๋ม" ผมจะทำแค่ 4 ข้อนี้เท่านั้น
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ "ครูจุ๋ม" ครูที่ทำร้ายเด็กนักเรียนอนุบาล หลังจากออกมาขอโทษสังคมก่อนหน้านี้
เมื่อวาน (4 ตุลาคม 2563) เดินทางมาพร้อมกับ “ทนายเดชา” กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์
เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายชาญวิทย์ (สงวนนามสกุล) และภรรยา ซึ่งเป็นผู้ปกครอง ด.ช.เอ (นามสมมุติ) ที่เข้าทำร้ายร่างกาย “ครูจุ๋ม” เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา จนกลายเป็นเรื่องราวร้อนแรง ถึงขั้นชาวโซเชียล ต่างแสดงความคิดเห็นกันอย่างแพร่หลาย จากกรณีที่ทนายเดชารับทำคดีครูจุ๋ม
ล่าสุดนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวด้วยเช่นกันและได้แสดงความคิดเห็น ในมุมมองที่ว่า หากตนเองรับทำคดีครูจุ๋ม จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร
ทุกวันนี้ผมได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจเยอะมากนะครับ แต่หลายครั้งผมตัดสินใจปฏิเสธทั้งที่ถ้าเลือกงานนี้ผลตอบแทนก็เป็นเงินมากโข แต่ด้วยถ้าทำแล้วไม่สบายใจ ขอไม่ทำดีกว่า แน่นอนครับ ทนายเลือกงานได้ ทั้งเป็นทนายโจทก์และทนายจำเลย คดีแบบเด็กอนุบาลถูกทารุณกรรม ผมขอผ่าน ได้กี่บาท ก็ขอไม่รับ แต่ขอเสนอแนะในฐานะที่เป็นทนายให้ลูกเพจอ่านดูแล้วกันนะครับว่าถ้าผมเป็นทนายคดีครูจุ๋ม ผมจะทำแบบนี้
1. ออกแถลงขอโทษผู้ปกครองและสังคม โดยปราศจากข้อแก้ตัว รวมถึงเลิกโทษคนอื่น เก็บความเฟียส ความกร้าวใส่ลิ้นชักชั้นลึกที่สุด ผลร้ายมีมากกว่าผลเสียถ้าใช้อารมณ์
2. หาทางเยียวยาตามกฎหมาย ไม่ปกป้องคนกระทำผิด ปฏิรูปโรงเรียน เสนอมาตรการที่จะมีในอนาคต เพื่อยืนยันว่าเด็กนักเรียนจะมีสวัสดิภาพที่ดี ไม่ถูกทำร้ายแบบที่ผ่านมา
3. ไม่แจ้งความผู้ปกครอง ควรเข้าใจว่าเป็นลูกใคร ใครก็โกรธ แน่นอนว่า การทำร้ายร่างกายกันในที่สาธารณะ มันผิดกฎหมาย แต่อย่าลืม ว่าฝั่งโรงเรียนเป็นฝ่ายผิด แต่หาทางเจรจา ให้ครูนำดอกไม้ ของขวัญไปขอขมาผู้ปกครองรายคนโดยนอบน้อมที่สุด เขาจะรับหรือปฏิเสธไม่ใช่สาระที่สำคัญ แต่ผิดแล้วต้องรับผิดและแก้ไขไม่ใช่แก้ตัว
4. ให้ลูกความสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เพื่อลดโทษ และเป็นการสำนึกผิด หลักฐานมันชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะแถ เสียทั้งภาพลักษณ์โรงเรียน และไม่แฟร์กับเด็กและผู้ปกครอง
สำหรับผม การพาลูกความไปแจ้งความ เหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น เสียชื่อโรงเรียนไม่พอ จากฝ่ายโจทก์อาจจะเห็นความสำนึกผิด จะยิ่งโกรธแค้น และทำให้คดีอื่นๆอีกเป็นพรวนเสียไปหมด ทนายมืออาชีพที่ว่าความที่ศาลจริง ไม่ใช่ศาลโซเชียล เขาไม่ทำกันหรอกครับ