ข่าว

"ษิทรา" ลุยคุ้ยปมฉาวไม่หวั่นถูก ตร. แกะรอย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

มึนตรวจสอบ 2 โครงการฉาว "ไบโอเมทริกซ์ - รถตรวจการณ์ไฟฟ้าอัจฉริยะ" เจอสั่งตามถอดเทปสัมภาษณ์ ยันไม่ได้ทำ สตช. เสียหาย แต่พิสูจน์ความโปร่งใส

 

              จากกรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบความโปร่งใสของการจัดซื้อโครงการเครื่องตรวจพิสูจน์บุคคลด้วยลายนิ้วมือและใบหน้า หรือ ไบโอเมทริกซ์ มูลค่ากว่า 2,116 ล้านบาท และโครงการจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ พร้อมติดตั้งระบบเทคโนโลยีต่างๆ จำนวน 260 คัน วงเงิน 900 ล้านบาท ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.)

อ่านข่าว - แฉพิรุธส่วนต่างไบโอเมทริกซ์ สตช. จัดซื้อแพงหูฉี่

 

 

 

              แต่ต่อมามีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อ้างถึง สั่งการ ผบ.ตร. โดยให้สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) ตรวจสอบการให้สัมภาษณ์ของนายษิทราในประการที่อาจทำให้ สตช. เกิดความเสียหายว่าเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่อย่างไร และให้ตรวจสอบการให้สัมภาษณ์ของนายษิทราที่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ เช่น สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และออนไลน์ โดยเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายษิทรานั้น

              ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 นายษิทราให้สัมภาษณ์ในรายการเก็บตกจากเนชั่น ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่น ช่อง 22 ถึงเรื่องดังกล่าวว่า ในส่วนที่ตนตรวจสอบโครงการไบโอเมทริกซ์และโครงการรถตรวจการณ์อัจฉริยะ โดยยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. สอบ ซึ่งมี 4 นายตำรวจรวมถึง ผบ.ตร. ด้วย

 

 

 

              แต่ไม่ได้ร้ององค์กรและไม่ได้ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย แต่กลับเห็นว่าการยื่นเรื่องให้ตรวจสอบจะช่วยองค์กรมากกว่า เพราะหากมีการกระทำทุจริตจริงก็จะแยกคนไม่ดีออกไป ซึ่งการที่มีคำสั่งออกมาเช่นนี้คาดว่าอาจจะต้องการปรามคนอื่นไม่ให้ตรวจสอบหรือเปล่า รวมทั้งอาจจะปรามสื่อมวลชนที่ร่วมตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่

              “ผมก็งงกับคำสั่งที่ออกมาให้ตรวจสอบการให้ข้อมูลกับสื่อของผม และที่ไปร้อง ป.ป.ช. ก็ไม่ได้บอกว่าใครทุจริต แต่ให้ตรวจสอบ เพราะที่สุดแล้วคนที่ตัดสินคือ ศาล ซึ่งคำสั่งที่ออกมานี้ไม่ได้ทำให้ผมกลัวเกรง ยืนยันจะเดินหน้าตรวจสอบต่อไป ขาสองข้างยืนในคุก แต่ยืนยันว่าผมทำด้วยความบริสุทธิ์ใจกับเรื่องผลประโยชน์ของประเทศ และทำด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้กลั่นแกล้ง 4 นายตำรวจ ยืนยัน ไม่หยุด และอยากบอกว่า ประชาชนคนตัวเล็กๆ จะร้องเรียนให้ตรวจสอบย่อมทำได้ หากไม่เช่นนั้นต่อไปก็ไม่มีใครกล้าร้องเรียน” ทนายตั้ม กล่าว

 

 

 

              นายษิทรา กล่าวอีกว่า ในส่วนการไปให้ปากคำต่อ ป.ป.ช. นั้นได้ไปแล้ว เพื่อชี้ช่องให้หาข้อมูลหลักฐาน ซึ่งตนตรวจสอบราคาพบว่าราคาแตกต่างกันมากกับที่ค้นหาในออนไลน์ มูลค่าโครงการไบโอเมทริกซ์สูงถึง 2 พันกว่าล้าน ตอนนี้กำลังตรวจสอบเครื่องสแกนพาสปอร์ตในโครงการที่พบว่าซื้อกันในราคาแสนหก แต่เท่าที่ทราบราคาแค่สี่หมื่นบาท หรือเครื่องสแกนหน้าและลายนิ้วมือรวมกันราคาสองแสนแปด แต่สองชิ้นนี้ในออนไลน์ราคาไม่เกิน 8 หมื่นบาท ซึ่งเป็นสเปกเดียวกันยี่ห้อเดียวกัน นอกจากนี้มีพยานอีก 2 - 3 ปากไปให้ปากคำ ป.ป.ช. แล้ว และมีการเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวข้องไปให้ข้อมูลแล้วด้วย ซึ่งโครงการนี้จัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ

              นอกจากนี้ บริษัทที่ได้โครงการไปก็น่าสังเกตว่าไม่เคยมีประวัติเชี่ยวชาญในเรื่องไอที แต่ทำเรื่องอะไหล่รถยนต์มาก่อน ซึ่งอาจเข้าข่ายไม่เป็นไปตามทีโออาร์ ทั้งนี้ เอกชนที่เข้ามาทำโครงการควรมีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ไม่เช่นนั้นระบบและประสิทธิภาพอาจไม่ได้

 

 

 

              นายษิทรา กล่าวอีกว่า มีคนติดต่อมาขอเคลียร์ให้ยุติเรื่องนี้ซึ่งเป็นคนที่ตนรู้จักและบอกว่าให้ไปคุยกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่ก็ปฏิเสธไปแล้ว เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็น เพราะ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการแล้ว

              ส่วนกรณีกระแสข่าวว่าทำเรื่องนี้เพราะมีความสัมพันธ์กับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีต ผบช.สตม. นายษิทรา กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่เคยสนิทและไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ส่วนที่ตรวจสอบเรื่องโครงการเหล่านี้เพราะเกิดความเสียหายกับประเทศและส่วนรวม ทั้งนี้ ในเรื่องส่วนตัวของใครหรือขัดแย้งกันใน สตช. อย่างไร ตนไม่เคยเกี่ยวข้องด้วยและไม่เอาด้วย

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ