ข่าว

สรยุทธ ไม่รอด ฎีกาจำคุก 6 ปี 24 เดือน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คดีทุจริตเงิน อสมท เจ้าตัวรับคำตัดสิน กองเชียร์หลั่งน้ำตา

 

              เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 มกราคม 2563 ที่ ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ศาลนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาคดี บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ไม่แจ้งการชำระค่าโฆษณาส่วนเกิน บมจ. อสมท จำนวน 138 ล้านบาท จากรายการ “คุย คุ้ยข่าว” ระหว่างปี 2548 - 2549 ที่ บจก.ไร่ส้ม และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุ 53 ปี อดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ

 

 

 

              โดยพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางพิชชาภา หรือ นางชนาภา บุญโต อายุ 50 ปี อดีตพนักงาน บมจ.อสมท มีหน้าที่จัดทำคิวโฆษณา , บจก. ไร่ส้ม , นายสรยุทธ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บจก. ไร่ส้ม และอดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง น.ส.มณฑา ธีระเดช อายุ 46 ปี พนักงาน บจก. ไร่ส้ม เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในคดีหมายเลขดำ อ.313/2558

              ทั้งนี้ อย่างไรก็ดี เมื่อเวลา 08.45 น. นายสรยุทธ ที่ได้ประกันตัวระหว่างฎีกาสู้คดี 5 ล้านบาท ได้เดินทางมาถึงศาลตั้งแต่เวลาประมาณ 08.45 น. เพื่อฟังคำพิพากษา โดยมีสีหน้าเรียบเฉยและไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยนายสรยุทธ ได้เดินเข้าไปภายในบริเวณศาลทันที ขณะที่วันนี้มีผู้ประกาศข่าวและเพื่อนที่เคยร่วมงานกับนายสรยุทธ อาทิ น.ส.พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ หรือ ไบรท์ และนายภาษิต อภิญญาวาท หรือ ไก่ พิธีกรรายการข่าวชื่อดังที่เคยจัดรายการร่วมกับนายสรยุทธ รวมทั้งดาราและผู้จัดละครชื่อดัง อาทิ แดงธัญญา โสภณ และโก๊ะตี๋ ได้เดินทางมาให้กำลังใจนายสรยุทธที่ศาลด้วย รวมทั้งนายประวิทย์ มาลีนนท์ อดีตผู้บริหารช่อง 3 ก็เดินทางมาเช่นกัน รวมประมาณ 30 คน

 

 

 

              ต่อมาศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ต้องรายงานคิวโฆษณาส่วนเกินเวลาให้ผู้บังคับบัญชาทราบแต่ไม่รายงาน โดยจากทางไต่สวนรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ใช้จำเลยที่ 1 หาช่องทางช่วยเหลือตามคำขอของจำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 1 ใช้น้ำยาลบคำผิด แม้จะฟังไม่ได้ว่าเช็ค 6 ฉบับจ่ายเป็นค่าตอบแทน แต่ฟังได้ว่ามีการจ่ายเช็คในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งหากไม่ได้ประโยชน์ในการดำเนินการ จำเลยที่ 1 คงไม่หาช่องทางช่วยเหลือ แม้จะมีการจ่ายเงินค่าโฆณาส่วนเกินก็จ่ายหลัง อสมท ผู้เสียหาย ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว และล่วงเลยจากเวลาที่เกิดเหตุ 2 ปี

              ทั้งนี้ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 - 4 เป็นเจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าวอาวุโส กลับทำผิดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี ขณะที่การกระทำของจำเลยทั้ง 4 ถือว่าเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ ไม่ใช่กรรมเดียวที่จำเลยฎีกาต่อสู้ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นเพียงแค่บางส่วน จึงพิพากษาแก้ให้จำคุก นางพิชชาภา หรือ นางชนาภา ที่มีหน้าที่จัดทำคิวโฆษณา จาก 20 ปี เป็นจำคุก 12 ปี ส่วน บจก. ไร่ส้ม จากปรับ 80,000 บาท เป็นปรับ 72,000 บาท นายสรยุทธ กรรมการผู้จัดการ บจก. ไร่ส้ม และอดีตพิธีกรชื่อดัง และ น.ส.มณฑา พนักงาน บจก. ไร่ส้ม จากจำคุก 13 ปี 4 เดือน เป็นจำคุก 6 ปี 24 เดือน

 

 

 

              ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังฟังคำพิพากษาแล้วนายสรยุทธได้เข้าพูดคุยกับผู้ที่มาให้กำลังใจ โดยมีบางส่วนเสียใจและร่ำไห้ออกมา อาทิ น.ส.พิชญทัฬห์ หรือ ไบรท์ พิธีกรสาวชื่อดัง ส่วนคนอื่นก็อยู่ในอาการเศร้าโศกเช่นกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายสรยุทธและจำเลยอื่นไปคุมขังที่เรือนจำตามคำพิพากษาของศาลต่อไป

              ไบรท์ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิด รู้สึกเสียใจ เสียดาย พี่ยุทธตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ต่ออาชีพและคนดู ถ้าพวกเราจะได้เห็นน้ำตาของพี่ยุทธนั่นคือตอนที่เขาบอกว่าพี่ต้องหยุดทำงานแล้ว งานข่าวคือชีวิตของเขา แกเคยบอกว่าน้องรู้มั้ยว่าพี่ไม่อยากเปิดทีวีเลย เพราะไม่อยากเห็นรายการที่ตัวเองเคยทำ แต่เราจะต้องอยู่ในกฎกติกา พี่เขาแสดงให้เห็นตามที่เขาเคยบอกแล้วว่าเขาจะไม่หนี

 

 

 

              สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานเป็นพนักงานเรียกรับทรัพย์สินฯ , เป็นพนักงานใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่องค์กร , เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ จากเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ถึง 28 เมษายน 2549 ต่อเนื่องกัน นางพิชชาภา ซึ่งเป็นพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บมจ. อสมท ได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” โดยใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลาจาก บจก. ไร่ส้ม จำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ. อสมท เสียหายกว่า 138 ล้านบาท และยังได้รับเช็คเป็นเงินกว่า 6 แสนบาทจากบริษัทไร่ส้ม ส่วนนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ให้การสนับสนุนในการกระทำความผิด โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

 

 

 

              ทั้งนี้ คดีดังกล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินฯ เป็นเวลา 20 ปี และปรับ บจก. ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 จำนวน 80,000 บาท ส่วนนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา จำเลยที่ 3 - 4 ให้จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา กระทั่งศาลฎีกามีคำพิพากษาสั่งจำคุกนายสรยุทธและพวกเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน ส่วนจำเลยที่ 1 เหลือโทษ 12 ปี

              ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ได้โพสต์ข้อความ “ความในใจจากพี่ยุทธ ก่อนฟังคำพิพากษา” โดยมีใจความสรุปว่า "ยอมรับคำพิพากษาโดยไม่เคยคิดว่าจะหลบหนีเพราะนั่นจะเท่ากับไม่เคารพกระบวนการของกฎหมาย กุมภาพันธ์ปี 2559 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาผม และผมต้องหยุดทำงานที่ผมเคยทำมาทุกวัน ทั้งที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ใครไม่เป็นผมคงไม่รู้ว่ามันทุกข์ทรมานขนาดไหนกับการต้องตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตของผมอย่างที่เคยช่วงนั้น ผมไม่กล้าแม้กระทั่งเปิดโทรทัศน์ อย่าว่าแต่รายการที่ตัวเองเคยทำ เพราะถ้าต้องเห็นสิ่งที่ผมรักและเคยทำมาตลอด มันจะหยุดน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ผมทำได้อย่างเดียวคือพยายามลืมชีวิตที่เคยเป็นมา สำหรับผมการต้องหยุดทำงาน เหตุเพราะคำพิพากษาของสังคม คือความทุกข์ทรมานที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต เพราะคือการห้ามผมใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การห้ามผมทำอาชีพของผม อิสรภาพในการใช้ชีวิตของผมหมดไปตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อนแล้ว ผมติดคุกสังคมมา 4 ปีแล้ว ตลอด 4 ปีของการต่อสู้คดีก็ไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ความรู้สึกเสมือนยิ่งสู้ยิ่งแพ้ แต่ก็ต้องสู้

 

 

 

              วันนี้ผมคงติดคุกตามคำพิพากษาของศาลสูงสุด ความยากลำบากเดียวคือทำใจ ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าจะทำได้ขนาดไหน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน แต่ที่สุดผมก็ต้องยอมรับให้ได้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่างน้อยวันนี้ชีวิตผมก็จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที แม้จะต้องเริ่มต้นจากติดลบ อยู่ในคุกตะราง จุดต่ำสุดของชีวิต แต่ก็ได้เริ่มต้น ซึ่งมันจะมีวันหนึ่งในที่สุดที่จะได้นับหนึ่งใหม่ ขอบคุณทุกคนที่เจอกันก็เข้ามาจับมือให้กำลังใจ ไม่ได้เจอกันก็ส่งกำลังใจมาให้จนกว่าจะมีโอกาสพบกันใหม่ครับ"

              ขณะที่ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ได้นำตัวนายสรยุทธเข้าไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และแยกนักโทษหญิง 2 รายไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง จากนั้นจะส่งไปไว้แดนแรกรับเพื่อรอให้ปรับตัวได้แล้วค่อยจำแนกไปไว้แดนอื่นๆ พร้อมให้ช่วยงานเรือนจำตามความเหมาะสม หรือตามความรู้ความสามารถของนายสรยุทธต่อไป

 

 

 

              ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่นำตัวมาถึงเรือนจำและตรวจร่างกาย โดยนายสรยุทธ มีโรคประจำตัว ประกอบด้วย ไขมันในเลือดสูง มีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่แต่ไม่ใช่เนื้อร้าย ร่วมกับมีเลือดออกในลำไส้และโรคถุงลมโป่งพอง เบื้องต้น พบว่านายสรยุทธมีสภาพจิตใจปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยเข้ามาเป็นผู้ต้องขังครั้งหนึ่งแล้ว

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ