ข่าว

บิ๊กโจ๊ก แจง ป.ป.ช. ไอ้โม่ง วิ่งเป่า 2 คดีฉาว

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"บิ๊กโจ๊ก" เข้าให้ข้อมูลป.ป.ช ยัน  ไบโอเมทริกซ์-รถสายตรวจอัจฉริยะ ใช้งานไม่ได้จริง

เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ได้เข้าให้ข้อมูลเป็นพยานปากแรกต่อคณะกรรมการไต่สวน ป.ป.ช. กรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อประชาชนและสังคมยื่นร้องเรียนตรวจสอบโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลโดยเทคโนโลยีไบโอเมทริกซ์ในวงเงิน 2,100 ล้านบาท และการจัดซื้อรถตรวจการณ์ไฟฟ้า 260 คัน วงเงิน 900 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในกรณีนี้ ป.ป.ช.นัด พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ให้เข้าให้ปากคำในเวลา 09.30 น. โดยเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ได้มานั่งรอตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ปรากฏว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เดินทางมาช้ากว่าเวลานัดถึง 1 ชั่วโมง

      พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าให้ข้อมูลว่า วันนี้เป็นวันที่รอคอยมานาน ซึ่งตนมาในฐานะพยานและครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เพราะหลังจากเข้าให้ข้อมูลจะเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ในการไต่สวนข้อเท็จจริง และมั่นใจว่าที่ผ่านมา ป.ป.ช.ได้ใช้เวลาไปพอสมควรในการตรวจสอบข้อเท็จจริง คงรวบรวมพยานหลักฐานได้ชัดเจนพอสมควรแล้ว นอกจากตนแล้วยังจะมีการเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมของคณะกรรมการตรวจรับซึ่งเป็นถึงรองผู้บัญชาการและผู้ใช้งานเครื่องไบโอเมทริกซ์ในจังหวัดต่างๆ อีกประมาณ 40 ราย ที่พร้อมเข้าให้ข้อมูลในฐานะพยานด้วย

     พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ตนเป็นคนที่เซ็นยกเลิกสัญญาและเป็น ผบช.สตม.เพียงคนเดียวที่กล้ายกเลิกสัญญา เพราะเห็นถึงความผิดปกติหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบงานล่าช้าในหลายงวดงาน และอีก 2 งวดส่งงานไม่ได้ การใช้งานไม่ได้เต็มตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในทีโออาร์ เช่นกำหนดคุณสมบัติไว้ 30 ข้อ แต่ระบบใช้งานจริงได้ 5-6 ข้อ จึงไม่คุ้มค่ากับงบประมาณ อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังปรับเพิ่มงบประมาณจากเดิมที่ตั้งไว้ 1,000 ล้านบาท กลายเป็น 2,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้ใส่ระบบเทคโนโลยีเพิ่ม แต่เพิ่มขึ้นตามจำนวนเครื่อง ตอนแรกสถานีตำรวจภูธรไม่อยู่ในแผนที่จะได้รับเครื่องไบโอเมทริกซ์ แต่ด้วยงบประมาณที่เพิ่มมากเป็น 2,000 ล้านบาท ทำให้สถานีตำรวจภูธรได้รับการแจกจ่ายด้วย รวมถึงตำรวจท่องเที่ยวที่ได้รับการแจกจ่ายด้วย ซึ่งปัจจุบันเครื่องเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้งาน นอกจากนี้ยังขอเรียกร้องให้ตรวจสอบการตรวจรับไบโอเมทริกซ์ชุดนี้ด้วยว่าเกิดขึ้นในขณะที่งานยังไม่เสร็จเพื่อเอื้อไม่ให้บริษัทเอกชนโดนปรับหรือไม่

     “วันนี้ผมมาให้ข้อมูลมีเอกสารมาไม่มากเพราะทุกอย่างอัดแน่นอยู่ในหัว ผมไม่มีเรื่องขัดแย้งกับใคร ถ้าไม่อึดอัดจวนตัวจริงๆ ใครจะกล้ามาสู้กับผู้มีอำนาจ ส่วนเรื่องคดียิงรถยนต์ของผมเมื่อมีเสียงคลิปออกมาขนาดนั้นฟังแล้วก็อ่อนใจ วันนี้คนในคลิปต้องตอบสังคม เพราะผู้นำองค์กรมีแต่เรื่องส่วนตัวแล้วองค์กรจะอยู่อย่างไร บ้านเมืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ทำอะไรอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าคนอื่นเขารู้กันหมดแล้ว การเป็นผู้รักษากฎหมายต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ให้คนเชื่อถือศรัทธา ผมอาจไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ต้องมีสักเรื่องที่ตอบคำถามสังคมได้อย่างสง่างาม ส่วนเรื่องที่อ้างว่าผมทำเรื่องนี้เพื่อเป็นเกมให้ได้กลับไปรับราชการตำรวจก็ไม่จริง ผมถูกย้ายมาเป็นปี ไม่เคยร้องขอความเป็นธรรม แต่อดทนมาเป็นปีๆ การที่ผมจะได้กลับไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ เพราะเป็นคนมีวินัย” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าว

    พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาความขัดแย้งกับคนในคลิปเสียงมาจากเรื่องไบโอเมทริกซ์ ที่ผ่านมามีความพยายามนัดเจรจาทั้งกับตนและนายษิทราเพื่อให้จบ แต่ไม่เคยไปพบเพราะไม่สามารถยุติเรื่องนี้ ตนกล้าเซ็นยกเลิกสัญญาทั้งที่เสี่ยงถูกฟ้อง แต่มั่นใจเพราะพบความผิดปกติจริง หลังจากนั้นกลับมีความพยายามตรวจรับงานให้ได้ และตั้งกรรมการสอบสวนตนเพื่อเอาผิดทางวินัยให้ได้ ส่วนโครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะ เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามานั่งเป็นผู้บัญชาการ และเมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่ารถไฟฟ้ามูลค่ากว่า 900 ล้าน ซึ่งต้องใช้ไวไฟและใช้พลังงานไฟฟ้า แต่กลับให้เอาไปใช้ตามด่าน ตม.ชายแดน ซึ่งไม่ตอบโจทย์การใช้งาน ไม่มีสถานีชาร์จไฟฟ้า และสัญญาณไวไฟมีน้อย สุดท้ายก็เอามาเป็นรถนำขบวนทำให้ผิดวัตถุประสงค์ของการใช้งานในการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งนี้มั่นใจในพยานหลักฐานที่นำมามอบให้ ป.ป.ช. ว่าจะสามารถนำไปสู่ความจริง ส่วนจะเอาผิดใครได้หรือไม่เป็นอำนาจของ ป.ป.ช.

      ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เตรียมเป็นคนกลางระหว่าง ผบ.ตร.กับพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เพื่อเคลียร์ใจกันนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก พล.อ.ประวิตร ส่วนตัวยังเคารพและยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน แต่เชื่อว่า พล.อ.ประวิตรจะไม่มาสั่งการในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หากได้รับการติดต่อจาก พล.อ.ประวิตร ก็พร้อมคุยทุกเรื่อง จะคุยกี่รอบก็พร้อม แต่ยืนยันว่าจะไม่ยอมทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย

      ต่อข้อถามถึงประเด็นที่นำมาตีความว่าเป็นศึกแย่งเก้าอี้ ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนเป็นพลตำรวจโท แย่งชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่มีคลิปเสียงเรื่องอาจจะยังคลุมเครือ แต่วันนี้ชัดเจนแล้ว ที่สำคัญเรื่องได้บานปลายไปถึงองค์กร คุณธรรม จริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญ อย่าคิดว่าถ้าความผิดยังไม่ปรากฏก็อยู่ไปได้ เพราะถ้าตนเป็นผู้นำองค์กรจะแสดงความรับผิดชอบ

       ส่วนความคืบหน้าคดีคนร้ายยิงรถยนต์ ทะเบียน 9 กจ-351 กรุงเทพมหานคร ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เหตุเกิดบริเวณริมถนนภายในซอยสาริกา แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม. เมื่อเวลา 20.30 น.ของวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมานั้น

      ล่าสุดมีรายงานจากชุดสืบสวนแจ้งว่า บช.น.ได้ดำเนินการแล้วคือ 1.สอบสวน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย และสอบพยานในที่เกิดเหตุ จำนวน 120 ราย 2.ตรวจสอบวัตถุพยาน พบหัวกระสุนในที่เกิดเหตุ จำนวน 1 หัว และหัวกระสุนภายในรถ จำนวน 7 หัว รวม 8 หัว ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ได้ดำเนินการตรวจสอบว่าเป็นหัวกระสุนชนิดใดและตรวจเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ 3.ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางประมาณ 100 ตัว 4.หน่วยงานที่ร่วมกันทำคดี ประกอบด้วย ทีมสืบสวนสอบสวนของ สน.บางรัก, ทีมสืบสวนสอบสวน กก.สส.บก.น.6 และบก.สส.บช.น. นอกจากนี้ยังมีชุดสืบสวนพื้นที่ใกล้เคียง เช่น บก.น.5 ร่วมทำการสืบสวนเก็บข้อมูลกล้องวงจรปิด

    รายงานแจ้งด้วยว่า ตั้งแต่เกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.น. ได้สืบสวนโดยตลอดในห้วง 3 วันที่ผ่านมา แต่การทำงานต้องใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานและความละเอียดรอบคอบ

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ