ข่าว

ประหารสถานเดียว 2 หนุ่มพม่าฆ่านักท่องเที่ยวเกาะเต่า

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดคำพิพากษาประหารสถานเดียว 2หนุ่มพม่า คดีฆาตกรรม 2 นทท.อังกฤษ เกาะเต่า ฎีกาจำเลย 5 ประเด็นหลักการเก็บหลักฐานไม่ได้มาตรฐาน-ทำร้ายบังคับรับสารภาพฟังไม่ขึ้น

 

          คดีนี้พนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายซอ ลินหรือโซเรน และ นายเวพิว หรือวิน สัญชาติพม่า ทั้งสองอายุ 26 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ,ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งไม่ใช่ภรรยา, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 กรณีเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2557 นายเดวิด วิลเลี่ยม มิลเลอร์ (David willam Miller) ถูกฆาตกรรม และฆ่าข่มขืน น.ส.ฮันน่าห์ วิคตอเรีย วิทเทอร์ริดจ (Hannah Victoria Witheridge) ทั้งสองอายุ 24 ปี ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวสัญชาติอังกฤษ ที่บริเวณหาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โดยเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วนายเวพิว จำเลยที่ 2 กลับให้การรับสารภาพข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านช่องทางตามกฎหมาย โดยไม่มีหนังสือเดินทาง โดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานและเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

           ซึ่งศาลจังหวัดเกาะสมุย ที่เป็นศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2558 ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องให้ประหารชีวิตฐานร่วมกันฆ่านายเดวิด และน.ส.ฮันน่าห์ กับจำคุกคนละ 20 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นฯ อันมีลักษณะการโทรมหญิง กับให้จำคุกนายเวพิว จำเลยที่ 2 ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นมือถือของนายเดวิด กับความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย โดยเมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองแล้ว ไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดอื่นมารวมได้อีก จึงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสองสถานเดียวและให้นายเวพิว จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่ามือถือให้กับญาติของนายเดวิดด้วยเป็นเงิน 15,000 บาท

 

           จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2560 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง และได้ยื่นฎีกา ขณะที่ศาลฎีกา มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดง 3773/2562

 

           โดย ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ทั้งสองถูกล่ามแปลภาษาและเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่ใช้กำลังทำร้ายบังคับให้รับสารภาพและจำเลยทั้งสองไม่ได้ยินยอมให้ตรวจเก็บสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) จากเยื่อบุกระพุ้งแก้ม เห็นว่า ล่ามที่มาปฏิบัติหน้าที่ล้วนเป็นชาวพม่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี จึงไม่มีเหตุผลจะต้องข่มขู่ทำร้ายจำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นคนชาติเดียวกัน ส่วนที่จำเลยอ้างในฎีกาอีกว่าล่ามที่เจ้าพนักงานตำรวจจัดหามา เป็นเบงกาลี ซึ่งมีความขัดแย้งกับชาวยะไข่นั้น ก็เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างของฝ่ายจำเลย โดยล่ามที่เป็นชาวเบงกาลีก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของล่ามก็อยู่ในความดูแลของตำรวจมาโดยตลอด และการนำตัวจำเลยไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพก็ย่อมมีสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจรวมทั้งชาวพม่าเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย หากมีการข่มขู่บังคับจำเลยจริงก็ต้องมีพยานรู้เห็น

 

          ส่วนบาดแผลที่จำเลยอ้างนั้น โจทก์ก็มีแพทย์ประจำสถานพยาบาลเอกชนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เบิกความเรื่องผลชันสูตรบาดแผลว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค.2557 พนักงานสอบสวนให้พยานไปตรวจร่างกายจำเลยซึ่งไม่พบร่องรอยฟกช้ำใดๆ ชีพจรเต้นปกติ อาการทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ปกติ ศาลเห็นว่า จำเลยทั้งสองถูกตำรวจควบคุมตัว เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2557 ในวันนั้นก็ได้สอบคำให้การจำเลยไว้ในฐานะพยาน ซึ่งทั้งสองรับสารภาพว่าได้ร่วมกันก่อเหตุ

 

          ต่อมาวันที่ 3 ต.ค.2557 ตำรวจจึงควบคุมตัวจำเลยไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพแล้วจึงสอบคำให้การ ในฐานะผู้ต้องหาอีกครั้งซึ่งทั้งสองยังคงยืนยันให้การรับสารภาพ นอกจากนี้ในวันที่ 10 ต.ค.2557 ขณะถูกคุมขังในเรือนจำ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมซึ่งทั้งสองก็ยังคงยืนยันให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การ ดังนั้นการสอบสวนจำเลยทั้งสองจึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่นายเวพิว จำเลยที่ 2 อ้างว่าถูกตำรวจใช้นิ้วดีดลูกอัณฑะหลายครั้ง และถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิเย็นนั้นก็เป็นการง่ายในการกล่าวอ้าง เพราะส่วนที่ถูกทำร้ายอยู่ในที่ลับ กับที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าถูกชกที่หน้าอก ตบตีที่บริเวณศีรษะและใบหน้า ซึ่งหากเป็นตามที่จำเลยอ้างก็จะต้องได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้า ซึ่งสังเกตเห็นได้โดยง่าย แต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ไม่ปรากฏร่องรอยการถูกทำร้าย

 

          ส่วนเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2557 เรือนจำ อ.เกาะสมุย ได้มีหนังสือส่งตัว นายซอลิน จำเลยที่ 1 ให้โรงพยาบาลตรวจร่างกายทั่วไปจากที่จำเลยแจ้งว่ามีอาการเจ็บหน้าอกนั้น แพทย์ได้ตรวจทั้งจากการเอ็กซเรย์และการใช้เครื่องซีทีสแกนตรวจเพื่อให้ได้ความแม่นยำอีกครั้ง ผลไม่พบความผิดปกติใด โดยอาการนั้นอาจเกิดจากการถูกของแข็งไม่มีคมก็ได้ ซึ่งก็เป็นช่วงหลังจากที่จำเลยทั้งสองถูกคุมขังในเรือนจำแล้วหลายวัน ไม่ใช่เกิดขึ้นขณะอยู่ในความควบคุมของตำรวจ กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าถูกตำรวจและล่ามทำร้ายตามที่จำเลยอ้าง

 

          ประเด็นที่ 2 ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า อาจมีการใส่ร้ายปรักปรำโดยนำผลการตรวจดีเอ็นเอ ที่พบในก้นบุหรี่ของกลางไปใส่ในช่องคลอด,ทวารหนัก,หัวนมข้างขวาของ น.ส.ฮันน่าห์ ผู้ตายที่ 2 หรือนำผลการตรวจดีเอ็นเอ ของจำเลยทั้งสอง หลังจากถูกจับกุมไปใส่ในผลตรวจพิสูจน์ ศาลฎีกาเห็นว่า ในการสอบสวน ได้ส่งก้นบุหรี่ของกลางไปตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ส่วนศพผู้ตายส่งไปตรวจที่สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ ซึ่งแม้ทั้งสองหน่วยงานจะอยู่ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ก็เป็นคนละหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ต่างกัน มีผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญรวมทั้งห้องปฏิบัติการแยกต่างหากจากกัน ดังนั้นการที่ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันสร้างหลักฐานเพื่อเอาผิดกับจำเลยทั้งสอง จึงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งการตรวจพบดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัย 2 คนที่ก้นบุหรี่ของกลางนั้นก็ได้ออกผลในงานเมื่อวันที่ 25 ก.ย.2557

 

          ส่วนการตรวจพบดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัย 2 คนจากอสุจิที่พบในช่องคลอด ทวารหลัก คราบน้ำลายหัวนมขวาของผู้ตายนั้น ได้มีรายงานออกมาวันที่ 24 ก.ย.2557 โดยการออกรายงานผลตรวจทั้งสองฉบับมีขึ้นก่อนที่การสืบสวนจะโยงไปถึงจำเลยทั้งสองซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานกลางหรือสถาบันนิติเวชฯ รพ.ตำรวจยังไม่ทราบว่าผู้ต้องสงสัยเป็นใคร ซึ่งผลการเปรียบเทียบดีเอ็นเอก็เป็นความลับในทางสืบสวนบุคคลอื่นไม่อาจทราบได้ โดยดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่ก้นบุหรี่ของกลางตรงกับดีเอ็นเอของอสุจิผู้ต้องสงสัยที่พบในช่องคลอด ทวารหนัก หัวนมข้างขวา ดังนั้นถ้าจะมีการสร้างหลักฐานเท็จก็น่าจะสร้างหลักฐานเพื่อเอาผิดกับจำเลยทั้งสองในคราวเดียวกัน ขณะที่เมื่อได้ดีเอ็นเอจากเยื่อบุกระพุ้งแก้มของจำเลยทั้งสองแล้ว จึงค่อยนำมาตรวจพิสูจน์กับดีเอ็นเอที่พบในก้นบุหรี่กับในอสุจิและคราบน้ำลายว่าตรงกันหรือไม่ โดยการตรวจวัตถุพยานก้นบุหรี่ของกลางนั้นนอกจากจะพบดีเอ็นเอของนายเวพิว จำเลยที่ 2 แล้วยังพบของนายเมา เมาด้วย แต่ไม่ปรากฏว่ามีการใส่ความเอาผิดหรือดำเนินการใดๆ กับนายเมา เมา ว่ารู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วยซึ่งแสดงให้เห็นว่าตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรวจมาโดยไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ผิดไปจากความจริงเพื่อจะกลั่นแกล้งหรือปรักปรำจำเลยทั้งสอง จึงฟังไม่ได้ว่ามีการสร้างหลักฐานเท็จเพื่อจะเอาผิดกับจำเลยทั้งสอง

 

          ประเด็นที่ 3 จำเลยฎีกาว่าการตรวจพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ของเจ้าหน้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ISO  17025 เพราะไม่มีหลักฐานถือครองวัตถุพยานและไม่มีกราฟ ที่ออกจากเครื่องประมวลผลการตรวจวิเคราะห์สารพันธุกรรมอัตโนมัติมาแสดง ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำเบิกความของพนักงานสอบสวน สภ.เกาะเต่า ได้เบิกความถึงการตรวจเก็บหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุว่าได้โทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางมายังที่เกิดเหตุและได้รับคำแนะนำวิธีเคลื่อนย้ายศพผู้ตายทั้งสอง ซึ่งขณะนั้นระดับน้ำทะเลกำลังขึ้นอาจทำให้วัตถุพยานที่ศพผู้ตายสูญหาย โดยพยานร่วมกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยซึ่งทุกคนสวมถุงมือยางทำการย้ายศพ โดยใช้ผ้าใบปูรองพื้นทราย จับแขนขาผู้ตายยกขึ้นในแนวตั้งนำไปวางบนผ้าใบแล้วช่วยกันยกผ้าใบ 4 มุม พาศพไปไว้บริเวณดอนทรายซึ่งสูงกว่าพื้นชายหาด โดยช่วงเช้าเวลา 8 นาฬิกาเศษ ผกก.สภ.เกาะพงัน ซึ่งเป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนรับผิดชอบคดีและพนักงานสอบสวนได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุแล้วก็มีคณะเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 จ.สุราษฎร์ธานีตามมายังที่เกิดเหตุ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐานฯ เบิกความเกี่ยวกับการทำงานตรวจเก็บวัตถุพยานว่า เป็นไปตามหลักการตรวจเก็บสถานที่เกิดเหตุของเอฟบีไอทุกขึ้นตอน โดยวางหมายเลขกำกับตามลำดับความสำคัญของวัตถุพยานที่จะตรวจ

 

          โดยป้ายแรกวางที่ศพผู้ตายที่ 2 ซึ่งได้สวมถุงมือและหน้ากากในการตรวจบริเวณสภาพศพ ซึ่งพบว่ากระโปรงผู้ตายเปิดถึงเอว ศพแข็งตัว ขาทั้งสองข้างกางออกลักษณะแบะหรือตั้งเข่าขึ้นมา มีแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะ มีรอยช้ำตามร่างกายและบริเวณหน้าอก ปากช่องคลอดเปิดมีรอยช้ำ ส่วนศพนายเดวิด ผู้ตายที่ 1 ได้ตรวจเป็นลำดับที่ 2 ก็พบแผลที่ศีรษะทั้งสั้นและยาว ซึ่งได้เก็บคราบเลือดโดยใช้สำลีพันปลายไม้เช็ดที่บาดแผลแล้วเก็บในกล่องโดยเฉพาะ แล้วจึงตรวจกองคลาบสีแดงบนพื้นทรายเป็นลำดับที่ 3 กับลำดับที่ 4 คือ จุดที่พนักงานสอบสวนแจ้งว่าพบศพ น.ส.ฮันน่าห์ ผู้ตายที่ 2 เป็นจุดแรก , ลำดับที่ 5 บริเวณซึ่งพบจอบของกลางยาว 60 เซนติเมตร ปลายด้ามจอบบิ่น มีคราบสีแดง ตรวจสอบเป็นคราบเลือด ,ลำดับที่ 6 จุดที่พบถุงยาอนามัย,ลำดับที่ 7 จุดที่พบรองเท้าแตะเก็บใส่ซองกระดาษ, ลำดับที่ 8 จุดที่พบก้นบุหรี่ของกลางก็ใช้ปากคีบที่ยังไม่ได้ใช้งานคีบก้นบุหรี่ใส่ซองกระดาษ, ลำดับที่ 9 จุดที่พบรอยสับใหม่ที่โคนต้นสนซึ่งพบจอบ โดยการนำวัตถุพยานมานั้นก็ได้ปิดผนึกอย่างมิดชิด พร้อมลงลายมือชื่อกำกับบนเทปและกระดาษที่ปิดผนึก

 

          ขณะที่การส่งตรวจสอบวัตถุพยานจะไม่ผ่านมือบุคคล โดยมีการนำวัตถุพยาน เช่น สำลีที่เก็บดีเอ็นเอจากช่องคลอดและทวารหนัก ใส่หลอดกระสวยเข้าเครื่องยิงไปยังกลุ่มงานเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืนเพื่อถ่ายภาพกับส่งนักวิทยาศาสตร์ทำการตรวจสารพันธุกรรม ซึ่งบรรจุภัณฑ์นั้นจะไม่ปรากฏอักษรแสดงว่าเป็นวัตถุพยานจากบุคคลใด โดยโจทก์ก็มีพยานในกลุ่มงานตรวจชีววิทยาและดีเอ็นเอ รวมทั้งรองผบก.สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ เบิกความเกี่ยวกับขั้นตอนการตรวจวัตถุพยานและสารพันธุกรรมอย่างเป็นขั้นตอนและหลักวิชาการอย่างมีระบบ โดยมีการใช้น้ำยาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานและใช้เครื่องตรวจวิเคราะห์สารพันธุกรรมอัตโนมัติในการประมวลผลซึ่งแสดงให้เห็นมาตรฐานการปฏิบัติงานอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีกราฟพิมพ์ออกจากเครื่องตรวจวิเคราะห์อัตโนมัติมาแสดงทำให้ไม่อาจตรวจสอบได้และรับฟังไม่ได้ว่ารายงานผลตรวจนั้นถูกต้อง

 

          ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อมูลจากกราฟนั้นเป็นเพียงปลายทางของการตรวจพิสูจน์เท่านั้นซึ่งเป็นการนำข้อมูลดิบมากรอกลงในตารางแล้วจึงออกรายงานตามผลที่ได้ เมื่อต้นทางการตรวจพิสูจน์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดให้ต้องสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจพิสูจน์แล้ว รายงานผลการตรวจพิสูจน์ย่อมน่าเชื่อถือ ซึ่งหากจำเลยเคลือบแคลงสงสัยในตัวผู้ตรวจพิสูจน์และผลการตรวจที่ได้รับแล้วก็ขอให้ศาลหมายเรียกกราฟมาตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งได้แต่จำเลยทั้งสองกลับไม่ติดใจตรวจสอบในประเด็นดังกล่าว ดังนั้นผลการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานกลางและสถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจจึงเป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักที่ศาลนำมารับฟังได้ ขณะที่รายงานผลการทดสอบดีเอ็นเอของอสุจิที่พบในช่องคลอดของ น.ส.ฮันน่าห์ ผู้ตายที่ 2 มีรูปแบบ ดีเอ็นเอตรงกับของนายเวพิว จำเลยที่ 2 ทุกตำแหน่ง

 

          ประเด็นที่ 4 จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เบิกความเกี่ยวกับบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศของ น.ส.ฮันน่าห์ ผู้ตายที่ 2 ขัดแย้งกันและจอบของกลางตรวจไม่พบดีเอ็นเอ ของจำเลยทั้งสอง ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากมีการผ่าพิสูจน์ศพ น.ส.ฮันน่าห์ ผู้ตายที่ 2 ที่สถาบันนิติเวชฯ รพ.ตำรวจ ก็พบว่าบริเวณหัวนมข้างขวามีร่องรอยการกัด,มีรอยฉีกขาดบริเวณปากช่องคลอดด้านล่างกับรอยถลอกปริบริเวณฝีเย็บยาวถึงทวารหนัก ซึ่งพยานโจทก์ 3 ปากก็ได้เบิกความยืนยันตรงกันว่าผู้ตายที่ 2 น่าจะถูกประทุษร้ายทางเพศสอดคล้องกับที่มีคราบน้ำลายบริเวณหัวนมกับพบอสุจิทั้งในช่องคลอดและทวารหนักของผู้ตายที่ 2 ซึ่งดีเอ็นเอที่พบนั้นก็ตรงกับจำเลยทั้งสอง ส่วนจอบที่ไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยนั้นโจทก์ก็มีพยานเบิกความว่าด้ามจอบมีผิวสัมผัสขรุขระเต็มไปด้วยร่องเสี้ยน ยากแก่การที่เซลล์ผิวหนังของคนร้ายจะติดอยู่ที่ด้ามจอบ และหากพิจารณาจากที่เกิดเหตุซึ่งเป็นชายหาดติดกับทะเลพบศพนายเดวิด ผู้ตายที่ 1 ในทะเลห่างจากศพ น.ส.ฮันน่าห์ ผู้ตายที่ 2 ที่อยู่บนชายหาดประมาณ 10 เมตรเชื่อว่า จำเลยทั้งสองน่าจะฆ่าผู้ตายที่ 1 ก่อนลงมือกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 และการพบศพผู้ตายที่ 1 ในทะเลก็แสดงน่าจะมีการใช้จอบตีทำร้ายขณะอยู่ในทะเล ซึ่งด้ามจอบย่อมถูกชะล้างด้วยน้ำทะเลแล้วหลังจากที่ข่มขืนโดยใช้จอบฆ่าผู้ตายที่ 2 แล้ว จำเลยทั้งสองก็อาจจะลงล้างคราบเลือดที่เสื้อผ้ากับนำจอบมาล้างน้ำทะเลอีกครั้งเพราะไม่อย่างนั้นคงไม่นำจอบกลับไปที่บริเวณขอนไม้ตามเดิม ดังนั้นพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเพื่อปกปิดไม่ให้มีใครรู้เห็นการกระทำผิดของตนจำเลยทั้งสองจึงร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 ด้วย

 

          คดีมีประเด็นวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่า นายเวพิว จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้อื่นในเวลากลางคืนซึ่งเป็นมือถือของนายเดวิด ผู้ตายที่ 1  ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่  

 

          ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 รับเอามือถือไปแต่โจทก์มีนายตำรวจ 2 คน ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ให้ปากคำว่าเป็นคนเอามือถือไปโดยขณะนั้นให้การในฐานะพยานไม่ใช่ฐานะผู้ต้องหา โดยให้การในวันเดียวกับที่จำเลยถูกควบคุมตัวแล้วในวันต่อมาในฐานะผู้ต้องหา จำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพว่าได้เอามือถือของผู้ตายไปซึ่งการให้ปากคำนั้นก็เพียงวันเดียวหลังจากที่ถูกควบคุมตัวซึ่งเป็นระยะกระชั้นชิด จำเลยคงไม่มีโอกาสที่จะคิดให้การบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ผิดไปเป็นอย่างอื่น จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนด้วยความสมัครใจและตามความสัตย์จริง อีกทั้งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อนแต่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคู่กรณีฝ่ายใด

 

          นอกจากนี้ก็ยังมีพนังงานสอบสวนอีก 1 คน มาเบิกความว่าหลังจากจับกุมจำเลยที่ 2 แล้วให้การรับสารภาพ พยานได้ไปสอบถามกับเพื่อนของจำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับฝากมือถือไว้ โดยเพื่อนของจำเลยที่ 2 ระบุว่าครั้งแรกสงสัยว่ามือถือนั้นจะเป็นของที่ลักทรัพย์มาหรือไม่จึงทำเครื่องมือถือแล้วใส่ถุงพลาสติกโยนทั้งในท้องร่องหากจากบ้านพัก 10 เมตร เมื่อไปตรวจค้นก็พบเครื่องมือถืออยู่ในพงหญ้า พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่านายเวพิว จำเลยที่ 2 ได้ลักเอามือถือของนายเดวิด ผู้ตายที่ 1 ไปจริง จึงต้องรับผิดชดใช้ราคาค่าเครื่องมือถือกับญาติของผู้ตายที่ 1 ด้วย

 

          ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

 

          สำหรับคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 และศาลฎีกา พิพากษายืนทั้ง 3 ศาล ได้พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289 (7) , 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญ มาตรา 335 (1) วรรคแรก กับ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 12 (1) , 18 วรรคสอง , 62 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรม

 

          ฐานร่วมกันฆ่านายเดวิด ผู้ตายที่ 1 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง , ฐานร่วมกันฆ่า น.ส.ฮันนาห์ ผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง , ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ให้จำคุก จำเลยทั้งสองคนละ 20 ปี

 

          ส่วน "เวพิว" จำเลยที่ 2 ยังมีความผิดฐานลักทรัพย์ (มือถือนายเดวิด) ในเวลากลางคืน ให้จำคุก 2 ปี ซึ่งถ้อยคำรับชั้นจับกุมในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน เป็นประโยชน์แก่การสืบสวนจนสามารถยึดโทรศัพท์มือถือของกลางได้ เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน , ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางกฎหมาย , ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย , เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไม่ได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน , ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกอีก 6 เดือน โดยจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพความผิดนี้ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกความผิด 2 ข้อหานี้ทั้งสิ้น 6 เดือน

 

          แต่เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1-2 แล้ว ก็ไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นขอจำเลยทั้งสองมารวมอีกได้ คงให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 1-2 สถานเดียว และให้คืนจอบของกลางแก่เจ้าของ กับให้ "นายเวพิวจำเลยที่ 2 ใช้ราคามือถือของกลาง 15,000 บาท แก่ญาติของนายเดวิด ผู้ตายที่ 1 ด้วย ส่วนข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก.

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ