ข่าว

ผ้าขาวม้า"ดารานาคี" หมักโคลนอย่างดีของฝากบึงกาฬ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผ้าขาวม้า"ดารานาคี" หมักโคลนอย่างดีของฝากบึงกาฬ

             บึงกาฬ เป็นจังหวัดน้องใหม่ที่ 77 ของประเทศไทย มีความหลากหลายและความแปลกใหม่ที่น่าอัศจรรย์ ทั้งอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ของฝาก รวมไปถึงชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่แบบพี่น้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าพูดถึงบึงกาฬตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ผ้าขาวม้าดารานาคี” ซึ่งเป็นที่คุ้นตากันดีสำหรับผ้าผืนบางลายตาราง ที่เรียกกันว่า “ผ้าขาวม้า” มีมาแต่สมัยโบราณ  

ผ้าขาวม้า"ดารานาคี" หมักโคลนอย่างดีของฝากบึงกาฬ

 

           จึงไม่แปลกใจหากใครผ่านมาเที่ยว จ.บึงกาฬ จำต้องแวะมาที่กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 91 หมู่ 2 บ้านสะง้อ ต.หอคำ อ.เมือง ซึ่งเปิดให้บริการสำหรับบุคคลที่สนใจเข้ามาเรียนรู้การทำผ้าขาวม้าที่สามารถสร้างรายได้และเป็นสินค้าขึ้นชื่ออันดับหนึ่งของจังหวัด 

             สมพร แสงกองมี ทายาทรุ่น 2 กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ เล่าว่า จุดเริ่มต้นคือได้รับมรดกจากคุณตาคุณยาย จะเรียกว่าเป็นมรดกของชุมชนก็ว่าได้ เพราะเริ่มมีการทำผ้าขาวม้ามาตั้งแต่ปี 2544 แต่เดิมเป็นผ้าขาวม้าสีเคมี ลายผ้าก็จะเป็นลวดลายทั่วไป หลังจากรับมรดกมาก็ไปออกงานแสดงสินค้า มองไปทางไหนก็เหมือนกันหมด ก็เลยคิดว่าจะต้องเปลี่ยน ต้องฉีกแนวหาเอกลักษณ์ให้ตัวเอง หาสิ่งที่ชุมชนมี ซึ่งก็คือธรรมชาติ อีกทั้งได้รับเชิญให้เข้ารับการอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้จากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ และนำมาต่อยอดกับผ้าขาวม้าของตนเอง

ผ้าขาวม้า"ดารานาคี" หมักโคลนอย่างดีของฝากบึงกาฬ

             หลังจากเข้ารับการอบรมก็ได้รับคำแนะนำว่า สีธรรมชาติตลาดยังไปได้อยู่ และเพียงคำว่า “เปลี่ยน” จากการดูวีดิทัศน์ จนทำให้มีการเปลี่ยนการย้อมผ้าจากสีเคมีมาเป็นสีธรรมาติแทน โดยศึกษาและทดลองด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูก และหาวัตถุดิบจากธรรมชาติที่อยู่ในท้องถิ่นเพื่อนำมาต่อยอดให้แก่ผ้าขาวม้า เช่น มะค้อ (หมากค้อเขียว) หรือผลไม้พันปี ชมพู่มะเหมี่ยว ราชพฤกษ์ เป็นต้น

              เธอเล่าต่อว่า การนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาย้อมแล้ว สียังไม่เข้มข้นพอที่ต้องการจึงเริ่มศึกษาวิชาจากคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่มีภูมิปัญญาชาวบ้านดั้งเดิมว่าสมัยก่อนใช้อะไรย้อมผ้า จากที่นำเปลือกไม้มาแช่น้ำ 7 คืนให้ออกสี กว่าจะนำไปย้อม รวมๆ แล้วเป็นเดือนระยะเวลานี้นานพอสมควร จึงหาวิธีใหม่ด้วยตัวเอง จากการนำโคลนทุกบ่อมาทดสอบจนได้สีที่ต้องการ หรือที่เรียกกันว่าโคลนพันปี และตั้งชื่อว่า “โคลนนาคี” เพราะอยู่ในจุดที่เกิดบั้งไฟพญานาค โคลนบ่อนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมีประวัติยาวนาน สมัยก่อนเป็นทางเดินของสัตว์ เช่น วัว ควาย ช้าง กระทิง ฯลฯ ลงมากินน้ำจากแม่น้ำโขงเดินจนเป็นร่องนับพันปี โคลนนาคีมีคุณสมบัติช่วยให้ผ้านุ่ม สีเด่นชัดนั้นคือ “สีเทา” ที่ได้จากโคลนนาคี ซึ่งมีสีที่ไม่เหมือนใครและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

               อย่างไรก็ตามกระบวนการหมักโคลนจะต้องย้อมสีฝ้ายก่อนด้วยสีจากธรรมชาติตามคำขวัญของกลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อคือ ผลไม้พันปีคือหมากค้อเขียว นารีสีสวยคือชมพู่มะเหมี่ยว รวยได้รวยดีคือ ราชพฤกษ์ หลังจากนั้นก็นำมาย้อมโคลนได้สีโคลนหรือสีเทา และสีน้ำตาลอ่อนได้จากปูนกินหมาก จากนั้นจะนำไปหมักโคลนก่อนทอเป็นผืน 

               “บ้านหลังนี้ครบวงจร เป็นทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เทียบกับที่อื่นยังเล็กมากแต่เราใหญ่ในชุมชนแต่ก่อนไม่มีใครทำเลยเชื่อมั้ย แม่จะดีใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกี่ดังไปทั่วชุมชน เป็นความสำเร็จของแม่ที่มากระทุ้งให้เสียงกี่ดังขึ้นมาอีกครั้ง” สมพรกล่าว

         

        ทายาทรุ่น 2 กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ กล่าวถึงจุดเด่นที่ทำให้ผ้าขาวม้าไม่เหมือนใครและมีผู้คนสนใจผ้าขาวม้าดารานาคีของจังหวัดบึงกาฬ ว่าสีที่นำมาย้อมผ้านั้นเป็นสีจากธรรมชาติ ไม่มีสีเคมีเจือปนในการย้อม ซึ่งปลอดภัยต่อผู้บริโภคสีที่ได้จากธรรมชาตินั้นคือ สีจากหมากค้อเขียว ชมพู่มะเหมี่ยวและ ราชพฤกษ์ รวมถึงจากโคลนนาคีที่ได้จากธรรมชาติสามารถย้อมแล้วช่วยให้ผ้านุ่ม สีไม่ตกและเป็นสิ่งที่หาได้ตามธรรมชาติและมีที่เดียวในโลกซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดบึงกาฬอีกด้วย 

               “ผ้าขาวม้าดารานาคี” นอกจากจะเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านแล้ว ยังสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนและชาวบ้านอีก 4 อำเภอใน จ.บึงกาฬ ซึ่งในอนาคตมีแนวทางที่จะขยายให้กับอีก 4 อำเภอที่เหลือเพื่อให้มีรายได้ให้แก่ชาวบ้านและชุมชนเพื่อนำไปพัฒนากลุ่มแม่บ้านที่ทำผ้าขาวม้าดารานาคีต่อไป 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ