ข่าว

สู้ไม่ท้อ...แม้ไม่เหมือนคนอื่น

สู้ไม่ท้อ...แม้ไม่เหมือนคนอื่น

04 มิ.ย. 2554

นั่งดูรายการไทยแลนด์ก็อตทาเลนท์ เผอิญอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเห็นชายสองคน คนแรก "แขนซ้ายใช้การไม่ได้" แต่ก็พยายามและตั้งใจที่จะฝึกฝนเล่นกีตาร์จนสามารถเล่นได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มมีเพียง "แขนขวาแขนเดียว" ที่เหมือนปกติ

ทว่าแขนซ้ายและขาทั้งสองข้างก็ใส่ของเทียมมาตั้งแต่เริ่มเดินได้ แต่ก็สู้และดิ้นรนในการเล่นกีตาร์พร้อมๆ ไปกับร้องเพลงจนเป็นที่ถูกอกถูกใจและได้รับการโหวตจากผู้ชม กระทั่งทั้งสอง สมศักดิ์ เหมรัญ และ "ดำ" ก้องภพ แก้วเรือง ผ่านเข้ามาจนรอบสุดท้ายของการแข่งขัน และทำเอาผู้ชมน้ำตาซึมทุกครั้งกับการสู้ชีวิตของทั้งสองคน

 ในขณะที่อีกหนึ่งหนุ่มชาวอเมริกันไร้ "แขนขา" และไม่เคยมีคำว่า "ข้อแม้"  ไคล์ เมย์นาร์ด วัย 25 ปี แชมป์มวยปล้ำเจ้าของสถิติเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีร่างกายปกติได้ถึง 35 ครั้ง แพ้เพียง 16 ครั้ง และได้รับรางวัลนักกีฬาพิการยอดเยี่ยม (Espy Award) จาก ESPN ปัจจุบันทำงานเป็นนักพูดให้แก่ The Washington Speaker’s Bureau และมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการพูดเพื่อจูงใจคน ยิ่งกว่านั้นจะเป็นหนึ่งในโปรเจกท์ทอล์กโชว์พิเศษ “เจาะใจ เดอะโมเม้นต์ 2”...ทั้ง 3 คน จึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้คนร่างกายสมบูรณ์แต่กลับท้อแท้สิ้นหวังในชีวิต กลับมีพลังก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

** ไคล์ เมย์นาร์ด - ชีวิตในวัยเด็ก

 เป็นลูกคนแรกของพ่อแม่และพิการมาตั้งแต่เกิด แทนที่พวกเขาจะสิ้นหวังท่านกลับฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองได้ตั้งแต่เด็กๆ ฝึกให้ตักข้าวกินเองถ้าไม่ตักเองก็ต้องอด และเริ่มรู้ตัวว่าไม่เหมือนคนอื่นตอนที่มีเด็กมาถามว่าทำไมไม่มีแขนมีขา เลยแต่งเรื่องไปว่าโดนฉลามกัด โดนหมาไล่กัดบ้าง แน่นอนว่าผมอยากมีร่างกายปกติเหมือนคนทั่วไป บางคืนนอนไม่หลับคิดวนไปมาว่าทำไมเราเป็นแบบนี้

** ไคล์ เมย์นาร์ด - จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาคิดบวกกับชีวิต

 พอโตขึ้นผมเริ่มเข้าใจยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น และถ้าเลือกกลับไปเกิดใหม่ได้ก็ขอเป็นแบบนี้เพราะเป็นพรจากสวรรค์จากพระเจ้าที่ได้รับมาให้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนเยอะมาก บางคนกำลังคิดฆ่าตัวตายแต่พอได้ฟังเรื่องของผมเขาก็เปลี่ยนใจ ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจที่เกิดมาเป็นแบบนี้ แต่บางครั้งความหวังดีของคนที่หยิบยื่นให้ กลับสร้างความเจ็บปวดให้ผม เช่น การติดกระดุม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก เวลาคนเห็นก็จะมาช่วยด้วยความสงสาร ซึ่งผมอยากทำด้วยตัวเอง ผมสามารถเขียนหนังสือ พิมพ์คีย์บอร์ด โกนหนวด ขึ้นลงบันไดบ้านสามชั้นด้วยตัวเอง หรือแม้กระทั่งขับรถเองได้โดยทำคันเร่งขึ้นมาสูงๆ นอกจากนี้ยังได้ทำฝันด้วยการปีนภูเขาและกระโดดร่มลงมา ผมสนุกสุดๆ ความฝันบางอย่างอาจใช้เวลานานกว่าจะเป็นจริง แต่ถ้าใจสู้เต็มที่ ผมเชื่อว่าวันหนึ่งฝันนั้นจะเป็นความจริงแน่นอน

** ไคล์ เมย์นาร์ด - จุดเริ่มต้นของการเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

 เกิดจากตอนเด็กเห็นพ่อเป็นทหาร เลยอยากไปอยู่ในกองทัพบ้าง แต่โตขึ้นภาพที่เห็นคือ ทหารที่บาดเจ็บ สูญเสียจากการไปรบที่อิรักหรือ อัฟกานิสถาน จึงค้นพบบทบาทตัวเองว่าผมสามารถให้กำลังใจทหารเหล่านี้ได้ จึงเป็นที่มาของการเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้ทหารที่พิการจากสงคราม ตัวผมนั้นเหมือนได้รับพรจากการที่มีแบบอย่างที่ดีในชีวิตอยู่หลายคน ผมไม่เคยมองตัวเองว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของใครเลย แต่ผมก็เชื่อในการพยายามอย่างสุดตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอื่นๆ ผมจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากการเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตและพยายามถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นให้คนอื่น ผมแปลกใจและรู้สึกยินดีที่มีคนจำนวนมากบอกว่าผมเป็นตัวอย่างที่ให้แรงจูงใจแก่พวกเขา

** สมศักดิ์ เหมรัญ - เกิดอะไรขึ้นกับแขนข้างซ้าย

 ผมประสบอุบัติเหตุเมื่อปี 2544 จากการขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีแม่ซ้อนท้าย แล้วมีคนขับรถรถกระบะหลับในเข้ามาชน ครั้งนั้นผมสูญเสียแม่ไปพร้อมๆ กับแขนข้างซ้าย ช่วงเวลานั้นท้อแท้มาก คิดตลอดเวลาทั้งๆ ที่ร่างกายก็เจ็บปวดจากอุบัติเหตุ จะทำมาหากินอะไรเมื่อต้องกลายมาเป็นคนพิการที่ไม่ได้ตั้งใจ จนเกิดอาการซึมเศร้า ไม่พูดไม่คุย เครียดตลอดเวลา เป็นอย่างนั้นอยู่หลายเดือน จนคนในครอบครัวก็พลอยทุกข์ไปด้วย

** สมศักดิ์ เหมรัญ - แล้วลุกขึ้นมาได้อย่างไร

 พอดีว่าพี่ๆ ผมและเพื่อนข้างบ้านเขาก็เล่นตะกร้อกันทุกเย็น ผมก็เห็นอยู่ทุกวัน จนวันหนึ่งพี่ชายก็มาชวนให้ไปเล่นด้วย ผมก็พยายามและเริ่มเล่นได้และเล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถต่อยอดให้ผมขอทุนเรียนในระดับปริญญาตรี โดยสมัครเป็นนักกีฬาโควตาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จ.สงขลา เพราะผมเป็นคนหาดใหญ่ และประมาณปลายปี 2553 ผมก็มาเริ่มเล่นกีตาร์ ก็เพื่อนข้างบ้านนั่นแหละมาบอกว่า เห็นคนเล่นกีตาร์มือเดียวออกรายการโททัศน์ ด้วยการเอากีตาร์นอนหงายแล้วก็เล่น นั่นจึงเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญที่ทำให้ผมคิดเลยว่า เขายังเล่นได้ ผมก็ต้องเล่นได้ ก็มาฝึกเรื่อยๆ จนสามารถเล่นได้มาอย่างทุกวันนี้

** สมศักดิ์ เหมรัญ - ตอนนี้กลายเป็นคนดังแล้ว

 (หัวเราะ) ใช่ครับ ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก คนรู้จักผมทั้งประเทศ เพราะการเข้าประกวด ที่จริงผมตั้งใจเพียงว่าจะเป็นคนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอื่นๆ เพลงที่ผมเลือกมาเล่นและมาร้องจึงเป็นเพลงกำลังใจเพื่อให้คนอื่นเห็นผมแล้วไม่ท้อแท้ ลุกขึ้นมาสู้ ผมดีใจมากที่ผมเป็นไอดอลของคนที่เจอปัญหาแล้วท้อแท้ เป็นตัวอย่างของพวกเขาให้ลุกขึ้นสู้ แต่เมื่อผมได้รับการตอบรับจนเข้าสู่รอบ 2 คนสุดท้าย นั่นก็เป็นการเติมพลังให้ผมเช่นกัน และพลังนี้จะนำผมไปสานความฝันอีกเรื่องคือ ผมอยากเป็นตัวแทนนักกีฬาพิการในการแข่งขันกีฬาตะกร้อระดับประเทศ และผมจะคว้าปริญญาตรีมาให้ตัวเองอย่างที่หวังให้ได้อีกด้วย

**  ก้องภพ แก้วเรือง - พิการมาแต่เกิด

 ผมพิการมาตั้งแต่เกิดครับ มีเพียงแขนข้างขวาข้างเดียวเท่านั้นที่สมบูรณ์ปกติเหมือนคนอื่น ที่บ้านผมค่อนข้างยากจน พ่อแม่ทำนาอยู่ที่จ.สกลนคร ลำบากมากที่สุดแล้วยังมาพิการด้วย แต่ผมก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปนะ ไม่ได้คิดว่าตัวเองพิการ เพื่อนเตะบอลได้ ผมก็เตะได้ เขาทำอะไรได้ผมก็ทำได้ทุกอย่าง และผมเองก็ไม่มองว่าตัวเองเป็นคนพิการที่ต้องรอความช่วยหรือขอความสงสารจากใคร ไปโรงเรียนก็ไปกับพี่ชายและพี่สาว หรือติดรถเพื่อนๆ ไป ตอนนี้ผมอายุ 24 ปี เรียนจบปริญญาตรีแล้วด้วย

** ก้องภพ แก้วเรือง - เริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่เมื่อไหร่

 ผมสนใจเล่นกีตาร์ตั้งแต่ตอนเรียน ป.3 โดยเรียนจากในวงเหล้า ไม่ใช่ไปนั่งดื่มเหล้ากับเขานะ แต่คนเล่นเป็นเวลาดื่มเหล้าแล้วเขาก็ชอบหยิบกีตาร์มาเล่น ผมก็ให้เขาสอน ก็ฝึกเรื่อยๆ จากนั้นก็เริ่มเล่นได้หลายๆ อย่างทั้งกลอง พิณ เบส เล่นจนเป็นหัวหน้าวงดุริยางค์ของโรงเรียนในขณะที่เรียนมัธยม แรงบันดาลใจเหล่านี้มันมาจากคำดูถูกที่มักจะถูกตำหนิติเตียนอยู่เสมอ ว่าพิการนะจะทำเรื่องนี้ได้เหรอ ทำนั่นได้มั้ย มันจึงเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ผมต้องทำให้ได้ ผมไม่อยากให้ใครมาสงสารว่าเป็นคนพิการ อยากให้ทุกคนมองผมเป็นคนปกติเหมือนที่ทุกๆ คนเป็น

** ก้องภพ แก้วเรือง - ตอนนี้เลยเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน

 ความจริงแล้วผมไม่ต้องการเลยที่จะมาประกวดเพื่อให้ใครสงสารหรือเป็นไอดอลให้ใคร เพียงตั้งใจเข้ามาประกวดแล้วบอกให้ทุกๆ คนรู้ว่า ผมทำอะไรได้บ้าง แม้จะเป็นคนพิการก็สามารถเล่นดนตรีได้หลากหลาย และก่อนหน้านี้ก็เล่นตลกกับคณะพี่เหลือเฟือด้วย เป็นคนพิการใช่ว่าจะมาขอคะแนนสงสารอย่างเดียว เป็นคนพิการก็สามารถทำทุกอย่างที่คนปกติทำได้ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าพิการก็มีศักยภาพมากกว่า และจากนี้เมื่อใครคิดถึงผม ก็จะรู้ว่าผมทำอะไรๆ ได้หลายอย่างเช่นกัน

 และคำตอบเหล่านี้ล่ะค่ะที่ตอกย้ำให้เราคนปกติสมบูรณ์ครบ 32 นี้แหละ...ให้พร้อมสู้อย่าท้อแท้...ก็ขนาดทั้ง 3 คนนี้เขาไม่ครบยังสู้เกินร้อย...แล้วเราจะน้อยกว่าร้อย...ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ...