ข่าว

 “ระบบกงสีที่ยั่งยืน”

“ระบบกงสีที่ยั่งยืน”

22 พ.ค. 2554

แวดล้อมที่ผมรู้จักอยู่ในตระกูล “กงสี” กันหลายคน ซึ่งจากการที่ได้คุย ก็นานาทัศนะครับ บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ แตกต่างกันไป

ส่วนตัว ถ้าให้ผมฟันธง ไม่มีใครผิด ใครถูกครับ เพราะระบบนี้ก็มีทั้งข้อดี และข้อไม่ดีปะปนกัน หากจับพลัดจับผลูเกิดมาอยู่ในระบบแล้ว ก็ต้องอยู่ให้ได้ ด้วยใจที่เป็นสุข

 เท่าที่สืบเสาะ ระบบนี้ใช้ในครอบครัวคนจีนเป็นหลัก ครอบครัวไทยๆ ไม่ค่อยเห็น แต่หากใช้แนวคิดคล้ายๆ กัน จะเหมารวมเรียก “กงสี” ก็ไม่ผิดนัก  

 ว่ากันว่ารากฐานของระบบ จะเกิดจากต้นตระกูลรุ่นอากง อาม่า ที่อพยพมาแต่จีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อลงหลักปักฐาน ก่อร่างสร้างตัว ทำมาค้าขาย

 อาศัยความขยัน อดออม เมื่อตั้งหลักได้ ก็เริ่มส่งทอดกิจการให้รุ่นป๊ารุ่นม้าดำเนินการต่อ

 เมื่อผสมกับธรรมเนียมจีนที่นิยมการมีลูกหลานเยอะ ทุกคนก็เลยต้องลงเรือลำเดียวกันโดยปริยาย 

 พูดง่ายๆ ก็คือ ช่วยกันทำมาหากิน ไม่แตกไปไหน ญาติพี่น้องต้องแบ่งความรับผิดชอบกันไป

 หากจะมองเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการออกไปประกอบอาชีพอื่นข้างนอกก็ได้

 โดยใครทำก็ได้เงินดือน ใครไม่ทำก็ไม่ได้ จะมีบ้างบางตระกูลที่พออนุโลม ผ่อนผัน แต่รายรับรวมทั้งหมดจะอยู่ที่กองกลาง เรียกได้ว่าเงินทองไม่หายไปไหน ทำมาก ก็เป็นสมบัติตระกูลมาก

 ขณะเดียวกัน เงินกองกลางก็จะจัดสรรเพื่อใช้เลี้ยงดูปูเสื่อ เป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายพื้นฐานของสมาชิกในบ้านด้วย ใครจะทำอะไร อยากได้อะไร ที่สมเหตุผล ก็เอาบิลมาเบิกจ่าย

 แต่เพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยก สิทธิ์ขาดของระบบมักจะอยู่ที่ลูกชายคนโต หรือคนที่อากงอาม่ามอบหมาย ยื่นดาบอาญาสิทธิ์ให้ปกครองดูแลกิจการของตระกูล

 สารบบการปกครองก็เป็นไปตามอาวุโส มีประชาธิปไตยได้บ้าง แต่ไม่เบ่งบาน การบริหารจัดการยังขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่หรือคนที่มีปากมีเสียงที่สุด

 ในสายตาผม ระบบนี้สุ่มเสี่ยงมากในเรื่องการจัดการเพื่อให้เกิด “ความยุติธรรม” และต้องมีกลไกที่ดีพอเพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบจากคนใดคนหนี่งในตระกูล

 เพราะต้องยอมรับว่า มากคนก็มากความ การทะเลาะเบาะแว้ง หรือแก่งแย่งชิงดีอาจมีให้เห็น ถ้าผู้มีอำนาจวางตัวไม่เป็นกลาง ลำเอียง ไม่โปร่งใส จนเกิดวิกฤติศรัทธา ระยะยาวพอส่งต่อให้รุ่นลูกหลานดูแล กิจการจะลำบาก และอาจต้องถึงกับกาลอวสานก็ได้

 ข้อที่น่าระวังอีกอย่างก็คือ การทำกงสีมักมีความไม่คล่องตัวต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีคนเกี่ยวข้องมากมาย การจะตัดสินใจอะไรก็ลำบาก เดี๋ยวคนนี้ไม่เห็นด้วย คนนั้นขัดแย้ง ความคิดไม่ลงรอยเป็นของธรรมดา

 หากไม่สามัคคีกันจริง และมองผลประโยชน์ของตระกูลเป็นหลักมากกว่าส่วนตัว การทำงานก็ลำบาก ถึงเวลาต้องแข่งขันกับคนอื่น ก็เกรงว่าจะสู้ไม่ได้

 ชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลง หมุนเวียน ผลัดใบครับ เลือดเก่าไป เลือดใหม่ก็ต้องมา ระบบกงสีมีข้อดีจริง แต่ถึงเวลาก็ต้องพัฒนาเปลี่ยนไป

 ยิ่งรุ่นลูก รุ่นหลาน มีการศึกษาดี ก็ยิ่งต้องเอาความรู้มาปรับใช้กับระบบเดิม เพื่อให้ “กงสี” เป็นระบบที่ไม่ตาย ได้ประโยชน์จริง และไม่ถูกเก็บเข้ากรุ

 กลายเป็นมรดกทางภาษาที่ไม่มีใครได้ใช้อีกต่อไป

ชัยพล กฤตยาวาณิชย์
[email protected]