ข่าว

 ยกระดับสนามบิน"อู่ตะเภา"หนุนท่องเที่ยวภาคตะวันออกโตกระโดด

ยกระดับสนามบิน"อู่ตะเภา"หนุนท่องเที่ยวภาคตะวันออกโตกระโดด

14 พ.ค. 2554

จากปัจจัยของความขัดแย้งทางการเมือง กระทั่งนำไปสู่การชุมนุมภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เหตุการณ์ในครั้งนั้น ได้ส่งผลมาถึงการขนส่งทางอากาศที่ต้องชะงักงัน อย่างไรก็ดี ทางออกที่ถูกนำมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นคือ

การเสนอใช้ท่าอากาศยานแห่งอื่นเข้ามาทดแทน และนั่นคือการเปิดโอกาสให้มีการรื้อฟื้นการใช้งานของ "ท่าอากาศยาน อู่ตะเภา- ระยอง" ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ แต่ภายหลังภารกิจของการเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศในขณะนั้นสิ้นสุดลง เมื่อท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกลับมาใช้ได้ตามปกติ

 แต่ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ของตัว "ท่าอากาศยาน อู่ตะเภา-ระยอง" จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง กองทัพเรือ เมืองพัทยาในฐานะองค์กรปกครอง และสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ที่ร่วมกันผลักดันให้สนามบินอู่ตะเภา ยกระดับขึ้นเป็น ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-พัทยา (U-Tapao Pattaya International Airport) เพื่อที่จะรองรับเที่ยวบินให้มายิ่งขึ้นจากเดิม ด้วยการขอรับการสนับสนุนงบประมาณกว่า 900 ล้านบาท ในการที่ยกระดับของสนามบินแห่งนี้  ให้เป็นท่าอากาศยานระดับนานาชาติ

 การดำเนินการดังกล่าวเริ่มเป็นชัดเจนขึ้นนับตั้งแต่ปี 2553 เมื่อ พล.ร.ต.สุรพงษ์ อัยสานนท์ เจ้ากรมสารบรรณทหารเรือ ในฐานะคณะกรรมการบริหารท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-พัทยา ทำเรื่องของการสนับสนุนงบประมาณกว่า 900 ล้านบาท จากรัฐบาล เพื่อปรับปรุงและขยายพื้นที่จากเดิมในพื้นที่ 4,280 ตร.ม. เป็น 25,200 ตร.ม. ที่สามารถรองรับผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกได้จำนวนถึง 1,500 คนต่อชั่วโมง (ชม.) หรือเพิ่มสัดส่วนการให้บริการจากเดิมเพิ่มขึ้นได้อีกถึง 100%

 โดยจะมีการจำลองแบบของอาคารมาจากท่าอากาศยานจังหวัดพิษณุโลกมาจัดทำ มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในและอุปกรณ์บางอย่างให้มีความทันสมัย สามารถใช้งานในการรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินจำนวนมากได้โดยสะดวก รวมทั้งการก่อสร้างลานจอดแห่งใหม่เพิ่มเติม การจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ (X-Ray) การจัดสร้างโรงน้ำมันเชื้อเพลิง รถดับ เพลิง และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์สูงสุด

 ในขั้นตอนการดำเนินการ มีการเซ็นสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมาไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ได้แก่ บริษัทแอสคอน คอนสตรัคชั่น ดิเวลลอปเมนต์ โดยงบประมาณจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ งบประมาณก้อนแรก 468 ล้านบาท ใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาอาคารรองรับผู้โดยสาร ขณะที่อีกส่วนประมาณ 400 ล้านบาท จะนำไปจัดซื้ออุปกรณ์และยุทโธปกรณ์เกี่ยวกับสนามบิน ซึ่งได้ลงนามว่าจ้างไปแล้วเช่นกัน รอเพียงระยะเวลาของการส่งของและติดตั้งเท่านั้น

 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จในวันที่ 11 กันยายน 2555 ซึ่งหลังแล้วเสร็จ คาดว่าจะทำให้สนามบินอู่ตะเภามีศักยภาพในการรองรับการเดินทางทางอากาศได้มากขึ้น และมีมาตรฐานมากขึ้น ขณะที่ในส่วนของเมืองพัทยาก็จะยังมีการเสริมเพิ่มเติมในส่วนของการพัฒนาระบบสาธารณูปโภครองรับ รวมไปถึงระบบการขนส่งโดยจะมีการรื้อฟื้นโครงการปรับปรุงสถานีเดินรถไฟสายพัทยา-อู่ตะเภาขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้ก็คือ  การมีพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม 4 เท่า 

 ถือเป็นปัจจัยเอื้อให้การท่องเที่ยว เมืองพัทยา และภาคตะวันออก 4 จังหวัด  ประกอบด้วย ชลบุรี ตราด ระยอง และจันทบุรี  ขยายตัวมากยิ่งขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศสามารถบินเช่าเหมาลำลงมาจอดได้โดยตรง ไม่ต้องลงที่สุวรรณภูมิก่อน ขณะที่การยืนยันจากหลายประเทศชัดเจนแล้วว่า ทั้งเกาหลี ลาว และรัสเซีย ก็พร้อมที่จะเปิดเที่ยวบินตรงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าเมื่อแผนการปรับปรุงท่าอากาศยานนานชาติอู่ตะเภา-พัทยา แล้วเสร็จ พื้นที่แห่งนี้ก็จะมีฐานะของการเป็นศูนย์กลางการขนส่งนานาชาติที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ

 "ภายหลังจากท่าอากาศยาน อู่ตะเภา-พัทยา ปรับปรุงแล้วเสร็จ จนมีฐานะของการเป็นท่าอากาศยานระดับนานาชาติ มั่นใจว่าในอนาคต เมืองพัทยาจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองพัทยาเพิ่มมากขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเครื่องบินเหมาลำบินตรงมาลงที่สนามบินอู่ตะเภาได้โดยสะดวก และเดินทางจากอู่ตะเภามายังเมืองพัทยาใช้เวลาอย่างช้าที่สุดไม่เกิน 30 นาที นักท่องเที่ยวก็สามารถเดินทางมาถึงพัทยา" นิติ คงกรุต ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพัทยา ให้ทัศนะ

 ขณะที่ในภาคการลงทุนเมืองพัทยา จะมีนักลงทุนจากต่างประเทศตัดสินใจเลือกที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่เมืองพัทยามากยิ่งขึ้น เพราะความพร้อมจากการมีโครงข่ายการขนส่งทางอากาศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มรายได้ให้กับคนท้องถิ่น รวมไปถึงจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็น ระยอง จันทบุรี ตราด และฉะเชิงเทรา ก็ยังจะได้รับอานิสงส์ของท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-พัทยา อีกด้วย

 สง่า กิจสำเร็จ ประธาน สมาพันธ์ผู้ประกอบการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ประเมินว่า หากโครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-พัทยา เสร็จสมบูรณ์ นี่คือแม่หล็กสำคัญในการเพิ่มศักยภาพด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวรัสเซียได้รับความสะดวกในการเลือกที่จะเช่าเหมาลำเข้าบินตรงมาที่ท่าอาอากาศยานแห่งนี้ โครงการดังกล่าวยังเป็นรองรับการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมต่างๆ ในจังหวัดที่ตั้งใกล้เคียงกับท่าอากาศยานแห่งนี้ รวมไปถึงแรงกระตุ้นให้นักลงทุนจากต่างประเทศให้ความสนใจที่จะเลือกมาลงทุนในโซนของภาคตะวันออก

 "ปัจจุบันเมืองท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ภูเก็ต ต่างก็มีสนามบินของตัวเอง ดังนั้น หากท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา-พัทยา เสร็จสมบูรณ์ เชื่อว่า การพัฒนาธุรกิจด้านอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวในพัทยาและภาคตะวัน จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สิ่งปลูกสร้างที่พัก ที่อยู่อาศัย ก็จะเติบโตตามไปด้วย" สง่า กล่าว

 นี่เป็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพื้นที่โซนภาคตะวันออก โดยมีท่าอากาศยานนานาชาติแห่งนี้เป็นแกนของการขับเคลื่อน

 จากสนามบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติ

 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาพัทยา หรือสนามบินอู่ตะเภา ( U-Tapao Pattaya International Airport) เป็นสนามบินตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.พลา  อ.บ้านฉาง  จ.ระยอง  คาบเกี่ยว  อ.สัตหีบ  จ.ชลบุรี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ กองการบินทหารเรือ, กองเรือยุทธการ และ กองการท่าอากาศยานอู่ตะเภา ที่ผ่านมา สนามบินอู่ตะเภา สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่เช่น Boeing 747 หรือ A380 ได้ แต่เนื่องจากที่ตั้ง ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงทำให้ไม่มีเที่ยวบินประจำมากนัก คงมีเพียงเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มาใช้บริการเป็นแบบเช่าเหมาลำส่วนใหญ่ โดยเฉพาะจากประเทศรัสเซียกระทั่งความขัดแย้งทางการที่กระทบไปถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง จึงเป็นที่มาของการเปิดใช้งาน และมีการเสนอให้สนามบินแห่งนี้ได้ยกระดับสู่การเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ

ศุภกร อรรคนันท์ - คัมภีร์ อาบสุวรรณ์