ข่าว

เปลือย(ชีวิต)"ปอ"ศีกัญญา

เปลือย(ชีวิต)"ปอ"ศีกัญญา

14 พ.ค. 2554

หลายคนพูดถึงเธอว่า เป็นสาวเปรี้ยว หลายคนพูดถึงเธอว่า ชอบแต่งตัวโป๊เวลาออกงาน เช่นเดียวกับที่อีกหลายคนพูดถึงเธอว่า เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน และอีกหลายๆ คนพูดถึงเธออีกหลายๆ แง่มุม วันนี้จึงเป็นทีของ "ปอ" ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์ ที่จะลุกขึ้นมาเปลือยชีวิตของตั

 ซึ่งเป็นการเปิดฉากวงสนทนาด้วยท่าทีที่สบายๆ และเป็นกันเองภายในโรงแรมเรเนเรซองส์ ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวอันแสนอบอุ่นไปด้วยสมาชิกอย่าง คุณพ่อ ม.ร.ว.ทินศักดิ์-ศิริกาญจน์ - "คุณแพทรา" ศิริณี - "คุณแพทริค" ม.ล.ศรุศักดิ์ ภาณุพันธ์

ชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง

 เรื่องราวในวัยเด็กของปอ ก็คงเป็นความประทับใจ ความอบอุ่นที่ได้รับจากคุณตาคุณยาย เพราะความที่ปอเป็นหลานคนแรกของท่านๆ ก็จะเลี้ยงปอมาตั้งแต่เล็กๆ ถามว่าท่านตามใจไหม ก็ตามใจนะแต่อยู่บนพื้นฐานเหตุและผล ปอผูกพันกับท่านทั้งสองมากเป็นพิเศษ ทั้งถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุเกือบๆ 10 ขวบ คือ คุณตาจะคอยทำหน้าที่บินไปรับบินไปส่งทุกครั้ง จนถึงตอนเรียนจบที่ท่านไม่ได้ไปรับเพราะท่านเสียพอดี (เล่าถึงตรงนี้สาวที่ได้ชื่อว่าเปรี้ยวปรี๊ดถึงกับมีอาการเสียงเครือด้วยความสะเทือนใจ) อีกเรื่องที่ประทับใจอันนี้พี่เลี้ยงเป็นคนเล่าให้ฟัง ท่านจะคอยนับปฏิทินทุกวันว่าวันไหนที่เราจะกลับบ้าน และพอกลับมาปอจะนอนกับท่านตลอด

จากวัยเยาว์เข้าสู่วัยทำงาน

 หลังเรียนจบปริญญาตรีสาขา เศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ (Syracuse University) นิวยอร์ก กลับมาเมืองไทย เริ่มทำงานในสายข่าว ตั้งแต่นั่งอ่านข่าว ทำข่าวภาคสนามในงานเอเปค งานนี้ทั้งเหนื่อยทั้งภูมิใจมาก นอกจากนี้ก็มีงานพิธีกรรายการช่อง 5 อ่านข่าวบันเทิงช่อง 3 สำหรับในส่วนของแบรนด์คิปลิ้งก็เข้ามาดูแลแทนคุณแม่เต็มตัวทำมาประมาณ 2 ปีแล้ว ส่วนธุรกิจโรงแรมของครอบครัว จริงๆ แล้วก็มีทีมบริหารจากต่างประเทศอยู่แล้ว แต่เราก็เริ่มเข้ามาช่วยบ้างในส่วนของโอนเนอร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานด้านพีอาร์ ในตำแหน่งซีเนียร์ ไวซ์ เพรสซิเดนท์ และล่าสุดก็เริ่มเข้ามาชิมลางงานในสายบันเทิงด้วยการเล่นละคร

เห็นร่วมแสดงในเรื่องเคหาสน์สีแดง

 จริงๆ แล้วไม่ได้บอกใครเลย เพราะไม่ยังแน่ใจว่าภาพจะออกมาอย่างไรบ้าง จะไหวไหม จะดีไหม คิดไปสารพัด แต่บังเอิญว่าเป็นละครแนวโบราณย้อนยุค ซึ่งตรงกับนิสัยของเราอยู่แล้ว เพราะความที่โตมากับคุณตาคุณยาย แม้จะไปอยู่เมืองนอกนานนับสิบปี ก็ยังพูดไทยเขียนไทยได้ชัด บวกกับเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสืออ่านนิยายไทย คือชอบความเป็นไทย เมื่อได้ลองเล่นละครที่มีกลิ่นอายไทยๆ ได้นั่งแกะสลัก  นั่งร้อยมาลัย ได้ถ่ายทอดความเป็นไทยๆ ออกมา ซึ่งหาได้ยากในไลฟ์สไตล์ทุกวันนี้ที่เปลี่ยนไปแล้วก็รู้สนุกดี นี่คือสิ่งหนึ่งที่อยากลองเพราะคิดว่านี่คือตัวเรา แค่นี้ก็ถือว่ามีความสุขแล้ว

งานไหนสนุกสุด โหดสุด ยากที่สุด งานไหนทำแล้วมีความสุขมากที่สุด

 ยากทุกงาน แต่ถ้าพูดถึงโหดสุดก็ต้องงานภาคสนามเมื่อครั้งเอเปคมาจัดประชุมในไทย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นเกียรติมาก ส่วนงานอ่านข่าวก็ยาก ตอนแรกอ่านข่าวเศรษฐกิจ ต่อมาอ่านข่าวไลฟ์สไตล์ และการวิเคราะห์ข่าว ทุกวันปอจะพยายามจริงจังและมุ่งมั่นมากที่สุด เพราะเชื่อว่าการทำงานนอกจากความตั้งใจ จะต้องมีความทุ่มเท ที่สุดต้องมีใจรัก เพราะแต่ละงานมีความต่างกัน เช่น การจัดรายการก็ต้องมีชีวิตชีวา มีการรับส่งจังหวะระหว่างพิธีกรด้วยกัน

 ซึ่งต่างจากการนั่งอ่านข่าวเฉยๆ ส่วนงานบริหารก็ยากไปในอีกรูปแบบหนึ่ง สรุปว่างานทุกอย่างยากหมด  และถ้าถามถึงความสุขที่ได้ทำงาน ปอว่ามันอยู่ในช่วงอายุนั้นๆ อย่างงานพิธีกรเริ่มอายุ 20 ต้นๆ ก็รู้สึกตื่นเต้น ส่วนงานในฐานะผู้บริหารก็มารับผิดชอบตอนอายุ 20 ปลายๆ แล้วก็เป็นอีกภาวะหนึ่ง แต่ว่างานทุกสาขาที่ทำล้วนเป็นตัวตนของปอ ให้ปอนั่งโต๊ะอยู่กับงานตัวเลขทั้งวันเหมือนผู้บริหารทั่วไปทำไม่ได้ คงอึดอัด

ทุกวันนี้แบ่งเวลาทำงานของตัวเองอย่างไร

 24 ชม. ยกเว้นตอนนอน คือเวลาทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องอยู่กับงานตลอดเวลา เพียงแต่ใช้สมองของเราจะคิดเรื่องงานตลอด อาจจะมีเวลาไปพักผ่อน เวลาไปสปา ไปท่องเที่ยว ในขณะนั้นก็จะคิดงานไปด้วย เช่น อย่างไปเดินช็อปปิ้ง อาจจะได้เห็นไอเดีย ได้เห็นระบบการทำงาน จึงเหมือนเป็นการเปิดประสบการณ์ตัวเอง แล้วนำเอากลับมาปรับใช้กับงานของตัวเอง ปอก็ถือว่านี่คือการทำงานในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะตะลุยทำงานแบบไม่มีวันหยุดเลย อย่างวันเสาร์-อาทิตย์ ปอจะเลือกอยู่กับน้องหมาที่คุณพ่อคุณแม่และน้องลงขันกันซื้อให้ ให้เวลากับครอบครัว จะไม่ค่อยรับงานในช่วงวันหยุด

เวลาเครียดกับงาน ทำอะไรให้หายเครียด

 คนเราต้องมีความผิดหวัง ความเศร้าอยู่แล้ว ถ้าเราจมอยู่กับสิ่งนั้น ตัวเราเองก็จะทุกข์ ในทางกลับกันถ้าเราเปลี่ยนมุมมอง อย่างเช่น มนุษย์ยังมีขาวและดำ มีหลายๆ ด้าน ในทางตรงข้ามก็ยังมีด้านดีมีมุมดีที่สามารถนำมาปรับตัวปรับใจให้เราหายเศร้าได้ ง่ายๆ คือถ้าไม่ชอบก็จะบอกเลยว่าไม่ชอบแล้วจบ ไม่ทำให้ตัวเองจับจดอยู่กับความโกรธ

ปอเปรี้ยว (จี๊ด) มาก เวลาออกงาน

 ปอไม่อยากให้ใครคิดหรือมองอย่างนั้น แต่ก็ห้ามใครไม่ได้ เพราะเป็นมุมมองจากหลายๆ แต่ด้วยความที่เราชอบแต่งตัว สรีระเราเป็นอย่างนี้ ก็ช่วยไม่ได้ถ้าจะทำให้คนมองเราเป็นอย่างเรา แต่จริงๆ แล้วเรารู้ตัวว่าตัวเองไม่เปรี้ยวเลย คนที่รู้จักเราจริงๆ คนรอบข้างรู้จักตัวตนของเราก็พอแล้ว ขณะเดียวกัน คนที่ไม่เคยสัมผัสเราก็คงอยากจะเข้ามาศึกษาเรา ทำให้มีสีสันดี จริงๆ แล้วหากคนมองแบบนั้นก็โอเคนะ เหมือนเป็นคนมีมิติดี ชนิดที่ว่าข้างในกับข้างนอกไม่เหมือนกัน

ความรักของปอ

 ปอรักครอบครัว เรื่องราวความรักไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เรื่อยๆ ตอนนี้อะไรที่ทำให้เรามีความสุขเราก็อยู่ตรงนั้น ในทางตรงข้ามอะไรที่ไม่แฮปปี้ก็เลี่ยงซะ ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ เป็นกำลังใจให้เรา อะไรก็ตาม หรือใครก็ตามที่อยู่รอบข้าง เป็นความชื่นใจให้เรา เพราะว่าความรักน่าจะทำให้คนมีพลังมากขึ้นในการทำสิ่งต่างๆ วันนี้ปอยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็น นาย ก. นาย ข. นาย ค.  ถ้าเรามั่นใจว่าคนคนหนึ่งจะให้ความสุขกับเราได้ เราก็พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมไปจนแก่เฒ่า ณ วันนี้ปอให้ความสำคัญกับความอบอุ่น ความเอ็นดู เหมือนที่เคยได้รับจากคุณตา คุณยาย และน้าชาย ขณะเดียวกันคนที่จะทำให้ปอรู้สึกว่านับถือด้วย

ปอ ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์ ทำให้มีต้นทุนทางสังคมมากกว่าคนอื่นหรือเปล่า

 ไม่นะ...ปอขอบคุณพ่อแม่ ขอบคุณตายาย ขอบคุณสวรรค์ ที่ให้เราเกิดมา แต่นั่นไม่เกี่ยวกับความเป็นปอในทุกวันนี้ โอเคนามสกุลอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่สำหรับคติของปอ ทุกคนเกิดมาเป็นผ้าขาวผืนหนึ่ง ที่ค่อยๆ โดนเติมแต่งด้วยสีสัน เริ่มต้นอาจจะหน้าตารูปร่างมาจากยีนของพ่อแม่บ้าง ได้นามสกุลบ้าง อะไรหลายๆ อย่าง แต่สุดท้ายมันอยู่ที่ว่าผ้าผืนนี้จะเก็บแต่ฝุ่น หรือว่าจะลอยไปติดอยู่กับต้นไม้สูงๆ สรุปอยู่ที่คนอยู่ที่การดำเนินชีวิตให้มีคุณค่าต่อตัวเอง ต่อคนรอบข้างและต่อสังคมมากกว่า

ให้นิยามตัวเองว่ายังไง

 อืมม์...เพื่อนๆ เคยบอกว่าปอเหมือนของขวัญ ถ้าจะให้เปรียบปอก็คงเป็นแบบของขวัญหนึ่งกล่อง ซึ่งตั้งใจอยากให้คนที่ได้รับมีความสุข ซึ่งก็เหมือนกับภาพลักษณ์ภายนอกของปอที่ดูเปรี้ยว แต่ถ้าได้มารู้จักจริงๆ แล้วจะรู้สึกว่าไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย ซึ่งปอจะคิดเสมอว่าตัวเองอยากจะเป็นของขวัญที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขที่สุด

วางอนาคตไว้อย่างไร

 ปอไม่มีอนาคต ไม่ได้วาง แค่ทำทุกๆ วันให้ดีที่สุด ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและมีค่ากับตัวเองกับสิ่งรอบข้างให้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าโลกจะแตกวันไหน