ข่าว

พบ"บิน ลาเดน"ขี่ม้าหลบหนีสหรัฐไล่ล่า

พบ"บิน ลาเดน"ขี่ม้าหลบหนีสหรัฐไล่ล่า

13 พ.ค. 2554

พบหลักฐานที่ชี้ว่า โอซาม่า บิน ลาเดน เดินทางบนหลังม้าหลบหนีการไล่ล่าของสหรัฐ ตาลิบันในปากีสถานอ้างก่อเหตุระเบิดเพื่อแก้แค้นให้บิน ลาเดน อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองปากีสถาน ตำหนิสหรัฐที่ไม่แบ่งปันข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับบิน ลาเดน

(13 พ.ค.) เว็บไซต์แท็บลอยด์ เดลี่ เมล รายงานว่า การใช้เวลานานถึง 10 ปี พลิกแผ่นดินค้นหา โอซาม่า บิน ลาเดน ก่อนจะปิดฉากลงเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ด้วยกระสุนของหน่วยเนวี ซีล ของสหรัฐนั้นได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในปฏิบัติการไล่ล่าที่ยากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารของสหรัฐ

หลังเกิดวินาศกรรมโจมตีสหรัฐ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2544 ปฎิบัติการไล่ล่าได้เริ่มขึ้นที่เทือกเขาโทรา โบร่า ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน ก่อนจะจบลงในปากีสถาน และหลังจากประติบประต่อคำให้การของภรรยาทั้ง 3 คน ของบิน ลาเดน กับผลการสอบสวนนักโทษที่กวนตานาโม ที่ถูกวิกิลี้คส์ นำมาเผยแพร่ ทำให้ได้ทราบแผนการหลบหนีของบิน ลาเดน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการขึ้นหลังม้าหลบระเบิดของสหรัฐครั้งแล้วครั้งเล่าในอัฟกานิสถานหรือแม้แต่แอบเข้าไปหลบภัยในรีสอร์ตตากอากาศที่แสนสงบ

สำหรับคนที่อยู่ในสภาพหลบหนีนั้น บิน ลาเดน แทบจะไม่ค่อยได้หนีไปไหนด้วยซ้ำ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามักจะปักหลักอยู่ที่เดียว และอยู่กับครอบครัว หนึ่งในภรรยาของเขาก็ให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่สืบสวนของปากีสถานว่า ไม่เคยลงจากชั้นบนของบ้าน

บิน ลาเดน พึ่งพาและไว้ใจพันธมิตรในปากีสถานมาหลายปี และเป็นได้ว่าเคยใช้ชีวิตอยู่กับพวกชนเผ่าในปากีสถานในช่วงเวลาหนึ่ง หน่วยข่าวสหรัฐเคยเชื่อว่า บิน ลาเดน อาจจะข้ามพรมแดนไปยังปากีสถาน หลังจากรอดพ้นการถูกไล่ล่าอย่างหนักที่โทรา โบร่า ในอัฟกานิสถาน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2544 แต่ปรากฎว่า เขายังอยู่ในอัฟกานิสถาน และหลบการไล่ล่าด้วยม้า เขามักจะเดินทางโดยมีองครักษ์แค่ 2-3 คน ที่เป็นชาวอาหรับ

บิน ลาเดน ไม่ได้หนีลงใต้ดินดังที่เจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐสันนิษฐาน แต่เขาอยู่ที่เมืองกันดาฮาร์กับพวกนักรบอาหรับและพบกับมุลเลาะห์ โอมาร์ ผู้นำตาลีบัน และยังเคยเข้าไปที่กรุงคาบุลด้วยส่วนการหลบหนีการไล่ล่าที่โทรา โบร่านั้น เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา เพราะภูเขาลูกนี้เต็มไปด้วยถ้ำที่สลับซับซ้อน และเขาเคยใช้ซ่อนตัว เมื่อครั้งทำสงครามต่อต้านการยึดครองของโซเวียต เมื่อยุค1980

ตอนที่บิน ลาเดน หนีการไล่ล่าของสหรัฐไปยังเมืองจาลาลาบัด นั้น ไอย์มาน ซาวาห์รี มือขวาของเขาก็ตามไปด้วย จากนั้นเขาก็โยกย้ายไปหลายที่ รวมทั้งที่เมืองคูนาร์ ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในสายตาของทหารสหรัฐในอัฟกานิสถาน แต่ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่า เขาเข้าไปที่เมืองอับบอตตาบัดของปากีสถานตั้งแต่เมื่อใด แต่อามาล อัล ซาดาห์ ภรรยาที่อ่อนวัยที่สุดของเขา บอกกับเจ้าหน้าที่สอบสวนของปากีสถานว่า เธอกับสามีใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ ชัค ชาห์ มูฮัมเหม็ด ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอับบอตตาบัตราว 25 ไมล์ นาน 2 ปีครึ่ง ซึ่งบ้านที่บิน ลาเดน ถูกสังหาร สร้างขึ้นเมื่อปี 2548 และหนึ่งในภรรยาของเขาก็บอกกับเจ้าหน้าที่สอบสวนว่า ย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนี้ เมื่อปี 2549 และไม่เคยลงจากชั้นบนของบ้าน ที่มีอยู่ 3 ชั้น

ตาลิบันอ้างก่อเหตุระเบิดเพื่อแก้แค้นให้บิน ลาเดน

โฆษกกลุ่มตาลิบันในปากีสถาน ประกาศว่าอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด 2 ครั้งในเมืองเปชวาร์ของปากีสถานที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 70 คนและผู้บาดเจ็บ 117 คนในวันนี้ โดยบอกว่าเป็นปฏิบัติการแก้แค้นครั้งแรกให้กับโอซามา บิน ลาเดน ผู้นำอัลไกด้าที่ถูกทหารสหรัฐสังหารในเมืองอับบอตตาบัดของปากีสถานเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม และขอให้รอเผชิญเหตุโจมตีครั้งรุนแรงกว่านี้ทั้งในปากีสถานและอัฟกานิสถาน

เหตุระเบิดทั้ง 2 ครั้งเกิดขึ้นที่บริเวณประตูทางเข้าศูนย์ฝึกตำรวจชายแดนในเขตชาร์ซัดดา เมืองเปชวาร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศขณะทหารกำลังจะขึ้นรถประจำทางกลับบ้านหลังได้วันหยุดพักผ่อน 10 วัน ตำรวจระบุว่า เหตุระเบิดครั้งแรกเป็นระเบิดพลีชีพ และกำลังตรวจสอบเหตุระเบิดครั้งที่ 2 โดยระเบิดลูกหนึ่งมีน้ำหนัก 6-8 กก.

ขณะที่นายกรัฐมนตรียูซุฟ ราซา กิลานี เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเมื่อวานเป็นครั้งแรกนับจากปฏิบัติการลับของทหารสหรัฐในการสังหารบิน ลาเดน โดยไม่แจ้งให้ปากีสถานรู้ล่วงหน้า  และรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ระบุว่าจะทบทวนความร่วมมือกับสหรัฐในการต่อต้านการก่อการร้าย โดยบอกว่าจะมีกำหนดขอบเขตความร่วมมือให้ชัดเจนขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและสอดคล้องกับความพอใจของประชาชน พร้อมกับประณามปฏิบัติการของสหรัฐว่าละเมิดอธิปไตย

ปากีสถานตำหนิสหรัฐที่ไม่แบ่งปันข้อมูลบิน ลาเดน

พลเอกเอห์ซาน อุล ฮัค อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองปากีสถาน ได้ตำหนิสหรัฐอย่างรุนแรงที่ไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับที่ซ่อนของโอซาม่า บิน ลาเดน และท้าเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐ ให้เอ่ยชื่อความร่วมมือครั้งใดก็ได้ที่เคยร่วมมือกันแล้วนำไปสู่ความผิดพลาด

ปากีสถานกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งภายในและต่างประเทศ ให้อธิบายเหตุผลว่าเหตุใดหน่วยข่าวกรองปากีสถาน จึงไม่ทราบว่า บิน ลาเดน กบดานอยู่ในประเทศของตัวเอง และมีเจ้าหน้าที่ปากีสถานรู้เห็นและช่วยปกป้องเขาหรือไม่

พลเอกเอห์ซาน อุล ฮัค ซึ่งเป็นผู้อำนวยการข่าวกรองตั้งแต่ปี 2544-2547 ได้กล่าวที่สถาบันคลังสมองแห่งหนึ่งในกรุงปารีสว่า ปากีสถานได้ส่งตัวสมาชิกระดับปฏิบัติการระดับสูงของอัล ไกดา เช่น คาลิด ชี้ค โมฮัมเหม็ด ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2544 ให้กับสหรัฐ เช่นเดียวกับ อาบู ซูเบย์ดา และรัมซี่ บินัลชิบ และข้อมูลที่รีดได้จากบุคคลทั้ง 3 ยังช่วยนำไปพัฒนาข้อมูลอีกมหาศาลเกี่ยวกับอัล ไกดา ที่อยู่ภายใต้การนำของบิน ลาเดน

พลเอกฮัค กล่าวต่อไปว่า ครั้งแรกที่เข้าถึงการเชื่อมโยงของพวกอัล ไกดา ได้มีขึ้นเมื่อปี 2547 จากการที่ปากีสถานกำลังไล่ล่า อาบู ฟาร์รัจ อัล ลิบบี้ ที่เป็นที่ต้องการตัวฐานอยู่เบื้องหลังการพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ซึ่งหน่วยข่าวกรองกำลังจะจับกุมเขาแต่สหรัฐขอร้องให้ชะลอไว้ก่อน เพราะเชื่อว่า เขาจะนำไปสู่การจับกุมบิน ลาเดนได้ แต่หลังจากควานหาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิน ลาเดน มานาน 6-8 เดือน แล้วไม่พบ จึงได้จับกุมเขา

ส่วนเรื่องที่ปากีสถานไม่ทราบว่า บิน ลาเดน ซ่อนตัวอยู่บนแผ่นดินของตัวเองนั้น พลเอกฮัคกล่าวว่า เป็นได้ไปได้ที่จะไม่มีการระแคะคายระคายเรื่องนี้ แต่เขาก็ตำหนิสหรัฐที่ไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง โดยบอกว่า ถ้ามีการใช้ปฏิบัติการร่วมกันแล้วประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นการกระชับความร่วมมืออย่างแข็งแกร่งระหว่างเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐกับปากีสถาน แทนที่จะเป็นความสัมพันธ์ที่จืดชืดแบบนี้

ที่เมืองอับบอตตาบัด ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งค่ายทหาร ที่หน่วยเนวี ซีล ใช้ปฏิบัติการบุกจู่โจมและสังหารบิน ลาเดน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมนั้น พบว่า มีสมาชิก 300 คน ของพรรคมุสลิม ลีคเอ็น ของอดีตนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ ไปชุมนุมกันที่ตลาดใหญ่ ประนามรัฐบาลสหรัฐที่อนุมัติให้ใช้ปฏิบัติการอย่างอุกอาจ และประนามรัฐบาลปากีสถาน ที่ไม่สามารถปกป้องอำนาจอธิปไตยของตนเองได้