ข่าว

ยิงชาวยะลาดับ2ก่อนจุดไฟเผาทิ้งคูน้ำ

ยิงชาวยะลาดับ2ก่อนจุดไฟเผาทิ้งคูน้ำ

05 พ.ค. 2554

คนร้ายยิงชาวบ้านดับ 2 ศพ ก่อนราดน้ำมัน จุดไฟเผาในคูน้ำข้างทาง ห่างจากจุดกราดยิงร้านน้ำชาแค่ 200 เมตร มือมืดทิ้งใบปลิวเกลื่อนบันนังสตา กล่าวหาทหารยิงชาวบ้านที่ยะลา รอง ผอ.รมน.ภาค 4 เผยต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชน

(5พ.ค.) เวลา 12.20 น. ศูนย์วิทยุรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากถูกยิงแล้วเผา 2 ศพ ที่ริมถนนสาย 410 (บันนังสตา-ธารโต) ตรงข้ามสถาบันปอเนาะดูรียันบูรงดารุสลาม บ้านกาโสด หมู่ 5 ต.บันนังสตา หลังทราบเหตุ พ.ต.อ.สุวัตต์ วงศ์ไพบูลย์ ผกก.สภ.บันนังสตา พร้อมด้วย ส.ต.ต.ชัยวัฒน์ อินอ่อน ปลัดอำเภอบันนังสตา และกำลังตำรวจ ทหาร อส.ฝ่ายปกครอง ได้สนธิกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่คนร้ายกราดยิงร้านน้ำชา เมื่อค่ำวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ประมาณ 200 เมตร

 ในที่เกิดเหตุพบไฟยังคงลุกไหม้ศพทั้ง 2 ศพ ที่อยู่ในคูระบายน้ำข้างทาง เจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยจึงได้ใช้ถังดับเพลิงช่วยกันดับไฟ  ตรวจสอบเบื้องต้นเป็นหญิง 1 ศพ ชายอีก 1 ศพ ยังไม่ทราบชื่อว่าเป็นใครมาจากไหน ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง ยี่ห้อซูซูกิ สีดำ สภาพใหม่ ยังไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ล้มอยู่ในคูน้ำเช่นกัน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันเหตุซ้ำซ้อน พร้อมกับประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ชุดพิสูจน์หลักฐาน เข้าร่วมตรวจสอบหารายละเอียดในที่เกิดเหตุ พบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่จำนวนหนึ่ง และพบสำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชน ระบุชื่อนายวิรัช แต้มประสิทธิ์ อายุ 67 ปี และนางหนูแดง แต้มประสิทธิ์ อายุ 47 ปี ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน อยู่บ้านเลขที่ 46/1 หมู่ 2 ต.คลองลุ อ.กันตัง จ.ตรัง และจากสอบสวนในเบื้องต้นเชื่อว่าคนร้ายมีไม่ต่ำกว่า 2 คน ได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบเหยื่อและใช้อาวุธปืนยิงชาวบ้านทั้ง 2 คนจนเสียชีวิต ก่อนจะลงมือราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผา

 ก่อนเกิดเหตุในครั้งนี้ พ.ต.อ.สุวัตต์ได้เรียกประชุมด่วนตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.บันนังสตา คดีกราดยิงร้านน้ำชา หลังมีกลุ่มผู้ไม่หวังดี นำใบปลิวมาทิ้งไว้ในพื้นที่ อ.บันนังสตา ในใบปลิวมีใจความว่า เหตุการณ์กราดยิงร้านน้ำชา เป็นการกระทำของทหาร

 พ.ต.อ.สุวัตต์ กล่าวว่า จากการติดตามสืบสวนได้พบหลักฐานเกี่ยวกับรถกระบะที่คนร้ายนำมาก่อเหตุ เป็นรถกระบะที่ถูกโจรกรรมมาจากพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยเจ้าหน้าที่ขอเวลาในการเร่งติดตามตัวกลุ่มคนร้ายดังกล่าว ขณะที่การสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่นั้นยอมรับว่า งานมวลชนที่ได้ดำเนินมาตั้งแต่แรกล้มละลายประชาชนขาดความเชื่อมั่นแต่ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังคงต้องเดินหน้าสร้างความเข้าใจที่ดีกับประชาชนในพื้นที่อีกต่อไป

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังประชุมเสร็จ พ.ต.อ.สุวัตต์จะเดินทางไปยังมัสยิดบ้านกาโสด หมู่ 5 เพื่อพูดคุยชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน และชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว ในเวลา 12.00 น. แต่มาเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงแล้วเผา 2 สามีภรรยา

 พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รอง ผอ.รมน.ภาค 4 กล่าวถึงใบปลิวว่า เป็นการกล่าวหาเพื่อสร้างกระแสให้เกิดความแตกแยกของกลุ่มผู้ไม่หวังดีมากกว่า เนื่องจากในห้วงที่ผ่านมา ในพื้นที่บันนังสตาเงียบจากสถานการณ์ ชาวบ้านมีความสงบสุข ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มากขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านน้อยลง ทำให้การทำงานของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเป็นไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น ทำให้ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบพยายามที่สร้างสถานการณ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจเจ้าหน้าที่ในทางลบ เพื่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการในพื้นที่ต้องรีบลงไปทำความเข้าใจกับประชาชนให้ถึงบันไดบ้านโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ประชาชนจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ประการแรกต้องประณามผู้ก่อการร้ายที่กระทำการโดยไม่คำนึงถึงว่ามีเด็กเล็ก ผู้หญิง ที่จะต้องได้รับผลจากการที่พวกเขากระทำในครั้งนี้ด้วย สังคมและโลกต้องประณาม ส่วนเรื่องที่เขาก่อเหตุนั้นเป็นหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะต้องดูแลปราบปรามจับกุมดำเนินคดีต่อไป ยืนยันว่าเราจะพยายามทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย อาทิ แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บังคับการตำรวจ ในแต่ละจังหวัด ผู้บัญชาการตำรวจในพื้นที่นั้นๆ จะทำหน้าที่ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่จะเน้นมากที่สุด คือการเฝ้าระวัง ต้องมีความรัดกุม เข้มข้นขึ้น และเวลาดำเนินการการเฝ้าระวังด้วย การตั้งด่านตรวจที่เข้มแข็งประชาชาเดือดร้อน ต้องดูว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ดำเนินการแล้วประชาชนก็ต้องเข้าใจ และเมื่อมีคดีความต้องจับกุมนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้ ซึ่งตรงนี้ได้กำชับไปทั้ง 2 เรื่อง และคงไม่มีความจำเป็นเรื่องที่จะต้องปรับกำลังเจ้าหน้าที่ ปล่อยให้เขาได้ทำงานไปตามเดิม