ข่าว

จับตา"ประวิตร"เยือนจีนแก้ปมไทย-เขมร

จับตา"ประวิตร"เยือนจีนแก้ปมไทย-เขมร

28 เม.ย. 2554

เป็นสัญญาณที่แปลกแปร่งไม่น้อยว่า "ข้อตกลงหยุดยิง" ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมของไทย เตรียมนำไปหารือกับ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมของกัมพูชา ล่มลงกลางคันได้อย่างไร ทั้งที่ผู้นำกองทัพทั้งสองฝ่ายคุยกันไว้ดิบดี

 โดยก่อนที่จะมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร เตรียมเดินทางเยือนกรุงพนมเปญ เพื่อหารือเรื่องข้อตกลงหยุดยิงกับ พล.อ.เตีย บัน มีข่าวว่า พล.อ.เตีย บัน โทรศัพท์เข้ามาที่เบอร์ของ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจใน จ.สุรินทร์

 จากนั้นเครื่องโทรศัพท์ของ พล.ท.ธวัชชัย ก็ถูกส่งต่อไปยังมือของ พล.อ.ประวิตร ที่กำลังปฏิบัติภารกิจตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจทหารในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2
อยู่พอดี โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ร่วมคณะอยู่ด้วย

 โดย พล.อ.เตีย บัน แสดงท่าทีพร้อมที่จะพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร เพื่อให้ปัญหาการปะทะกันของทหารไทย-กัมพูชา ยุติลง และพล.อ.เตีย บัน ก็ได้สั่งการให้ทหารกัมพูชาหยุดยิงแล้ว

 หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร พูดคุยกับ พล.อ.เตีย บัน แล้ว จึงมีการนัดหมายเพื่อที่จะเดินทางไปเจรจาพูดคุยถึงประเทศกัมพูชาทันที แต่ในช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้นก็มี "จุดเปลี่ยน" ที่ทำให้เหตุการณ์พลิกผันไปอีกด้าน

 เมื่อเว็บไซต์ของสื่อที่เป็นกระบอกเสียงรัฐบาลกัมพูชาประโคมข่าวว่า สาเหตุที่ไทยขอเจรจาหยุดยิงกับกัมพูชา เนื่องจากกองทัพไทย "ยอมศิโรราบ" ให้แก่กัมพูชา หลังจากสู้รบพ่ายแพ้

 ดังนั้น เมื่อถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของกองทัพไทยเช่นนี้ พล.อ.ประวิตร จึงปฏิเสธที่จะเดินทางไปพูดคุยกับ พล.อ.เตีย บัน ในช่วงเวลานี้ เพราะติดภารกิจเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำเชิญของ รมว.กลาโหมของจีนแทน

 ทางกัมพูชาก็ไม่ละความพยายาม แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ท่าทีของกัมพูชาก็ "พลิก" ไปอีกด้านเมื่อ สมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้คนสนิทประสานงานมายังนายทหารผู้ประสานงานไทย-กัมพูชา เพื่อขอเปิดโต๊ะเจรจาปัญหาไทย-กัมพูชา กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

 โดยจะใช้เวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 6-8 พฤษภาคมนี้ ที่ประเทศอินโดนีเซีย แต่การยื่นไมตรีของผู้นำกัมพูชาครั้งนี้ก็ยังต้องชั่งใจว่า เป็นการยื่น "ดอกไม้" ให้ไทยจริงๆ หรือแอบซ่อน "มีด" ไว้ข้างหลังอีก 1 เล่ม

 เพราะหากจะจำกันได้ ก่อนหน้านี้ สมเด็จฮุน เซน เคยมอบให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน และผู้ที่จะสืบทอดอำนาจในอนาคตอย่าง พล.ท.ฮุน มาเนต รองผู้บัญชาการทหารบก เปิดโต๊ะเจรจา “สัญญาสุภาพบุรุษ” กับคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบกมาแล้ว

 โดยผู้นำคณะนายทหารของไทยในครั้งนั้น คือ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก โดยมีการเจรจากันไว้ดิบดีที่ฝั่งกัมพูชา

 สัญญาสุภาพบุรุษที่ทำกันไว้เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนมีใจความสำคัญว่า ให้มีการหยุดยิงของกำลังทหารทั้งสองฝ่าย และเปิดให้มีการพูดคุยสื่อสารอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บังคับบัญชาในทุกระดับเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ซึ่งจะนำไปสู่การปะทะ และสูญเสียขึ้นอีก

 แต่เพียง 2 เดือนเศษเท่านั้น...กัมพูชาก็ "ฉีกสัญญาสุภาพบุรุษ" ที่ให้คำมั่นต่อกันไว้ในฐานะ "ชายชาติทหาร" อย่างไม่ไยดี !!

 การตระบัดสัตย์ของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนั้นจึงน่าจะเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทั้งรัฐบาล และกองทัพจะต้องไตร่ตรองให้มาก ก่อนที่จะ "ตกหลุมพราง" ของผู้นำกัมพูชาอีกครั้ง

 เพราะถึงแม้ว่า พล.อ.เตีย บัน จะไม่ต้องการให้มีการปะทะ และสูญเสียกันขึ้น โดยเฉพาะความสูญเสียของฝ่ายกัมพูชาที่ต้องสูญเสียกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าฝ่ายไทย แต่ในเมื่อผู้นำสูงสุดของกัมพูชายังไม่ต้องการให้การสู้รบยุติ ก็ไม่มีใครที่จะทัดทานได้

 ดังนั้น ในห้วงเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงสั่งการให้ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เตรียมความพร้อมรบตลอด 24 ชั่วโมง

 ยิ่งผู้บัญชาการควบคุมสมรภูมิของกัมพูชา คือ พล.ท.ฮุน มาเนต รองผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการพิสูจน์ฝีมือให้เป็นที่ยอมรับในกองทัพ และสร้างคะแนนนิยมต่อประชาชนชาวกัมพูชาด้วยก็ยิ่งไม่อาจไว้วางใจได้เป็นอันขาด

 ห้วงเวลานับจากนี้จึงต้องจับตาดูว่า พล.ท.ฮุน มาเนต จะเปิดแนวรบให้รุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม และจะขยายพื้นที่การสู้รบให้ลุกลามไปยังพื้นที่อื่นด้วยหรือไม่ หลังจากมีสัญญาณผิดปกติ คือ การสั่งเคลื่อนกำลังจากเขาพระวิหารมาสมทบที่ตาเมือนธม และตาควาย

 นอกจากนี้ ยังต้องติดตามว่า การเดินทางไปเยือนจีน ซึ่งถือเป็น "พี่เบิ้ม" ในอาเซียนของ พล.อ.ประวิตร จะมีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้างหรือไม่ เพราะไม่แน่ว่า บางทีการเลือกเดินทางไปเยือนจีนของ พล.อ.ประวิตร อาจนำมาสู่ "ข่าวดี" ที่แนวรบไทย-กัมพูชา ก็เป็นได้

ทีมข่าวความมั่นคง