ข่าว

3เหล่าทัพผนึกแผน“ป้องกันประเทศ"

3เหล่าทัพผนึกแผน“ป้องกันประเทศ"

27 เม.ย. 2554

เกมที่กัมพูชา “ดิ้น” ในช่วงนี้น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเดินหมากของ พล.ท.ฮุน มาเนต รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการควบคุมสมรภูมิ ที่ต้องคิดหนักในการวางแผนเพื่อ “โจมตี” ฐานที่มั่นที่กำลังทหารไทยควบคุมบัญชาการอยู่ เนื่องจากเดิมพันครั้งนี้สูงยิ่ง

 เพราะหากทำสำเร็จ พล.ท.ฮุน มาเนต จะถูกยกระดับให้อยู่ในแนวหน้าทันที ท่ามกลางกระแสข่าวว่า กำลังพลของกองทัพกัมพูชาเริ่มสั่นคลอนกับท่าทีของ พล.ท.ฮุน มาเนต ในการเปิดศึกกับกองทัพทหารไทยในครั้งนี้

 ทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงมีให้ลุ้นระทึกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายกำลังทหารของกัมพูชาที่มาประชิดชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ซึ่งการเสริมกำลังทหารของกัมพูชาในครั้งนี้ ก็เพื่อหวังเผด็จศึกฐานที่มั่นของกำลังทหารไทยที่ควบคุมบัญชาการอยู่ในพื้นที่ปราสาททั้ง 2 แห่ง

 การวางกำลังของทหารกัมพูชา เป้าหมายการยึดพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายให้ได้ แม้ว่าเข้ายึดพื้นที่ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ต้องล่าถอยหนีกลับไป

 ทางไทยวางกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 962 อยู่ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ทหารกัมพูชาได้เคลื่อนที่ล้ำเข้ามาบริเวณเส้นเขตชายแดนไทย ห่างประมาณ 50 เมตร และได้เกิดการปะทะนานประมาณ 15 นาที

 หลังจากปะทะ กำลังเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าพิสูจน์ที่บริเวณดังกล่าว สามารถตรวจยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารกัมพูชาได้ 5 รายการ คือ เครื่องยิงลูกระเบิดชนิด 60 มม. 1 กระบอก พร้อมกระสุนระเบิดขนาด 60 มม. 10 นัด, เครื่องยิงจรวจอาร์พีจี 1 กระบอก ลูกระเบิดยิงเครื่องยิงจรวจอาร์พีจี 4 นัด และกระสุนปืนกลเอ็ม 80 จำนวน 100 นัด
 นั่นคือความพยายาม และความสูญเสียของกัมพูชา

 แต่ความเหนือชั้นในการใช้ “กลโกง” ของกัมพูชา ย่อมสามารถทำอะไรที่กำลังทหารไทยคาดไม่ถึง โดยเฉพาะความพยายามใช้ตัวปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควายเป็นเกราะกำบังในการปฏิบัติการจู่โจมกำลังทหารไทย

 หากกำลังทหารไทยโจมตีและพลาดเป้า กัมพูชาก็จะนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขให้กำลังทหารไทยจำนน รวมถึงการเกณฑ์ “เด็ก-สตรี-คนชรา” เข้ามาเป็นแนวร่วม

 ปฏิบัติการของกัมพูชาครั้งนี้มีกองพลภูมิภาคทหารที่ 4 ควบคุมการบังคับบัญชา โดยมีหน่วยขึ้นตรง คือ กองพลน้อย 41 และกองพลน้อย 42 ที่มี พล.ท.เจีย มอน ผบ.กองพลภูมิภาคที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบพื้นที่ จ.พระวิหาร และ จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา

 ที่ตั้งของกองกำลังกัมพูชาครั้งนี้ อยู่ห่างจากชายแดนไทย 6 กิโลเมตร อยู่บริเวณบ้านกู่ ต.บันเตีย อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยมีอาวุธหนักทั้งปืนใหญ่ รถถังปืน ค. และอาร์พีจี

 รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ภายในทหารกัมพูชาไม่มีเอกภาพในการบังคับบัญชา โดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว จึงทำให้การประสานงานไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ แต่ก็พยายามเดินเครื่องในการเร่งโจมตีกำลังทหารไทย เพื่อหวังปิดเกมนี้ให้เร็วที่สุด แต่ยิ่งรบก็ยิ่งทำท่าว่าจะไม่จบง่ายๆ

 นั่นคือสาเหตุที่มีการเดินเกมเปลี่ยนเป้าหมายการสู้รบไปที่บริเวณภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แทน เพื่อหวังให้ไทยพะวักพะวน จะได้ตลบหลังกำลังทหารไทยที่อยู่บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย

 แต่สิ่งที่ พล.ท.ฮุน มาเนต คาดการณ์เอาไว้ไม่เป็นดังใจหวัง เนื่องจาก พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชา และสั่งการในการปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างเต็มที่ ได้สั่งการให้เสริมกำลังเข้าไปในทุกพื้นที่

 จึงทำให้การสู้รบในครั้งนี้ “กำลังทหารไทย” ได้เปรียบกำลังทหารกัมพูชาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความได้เปรียบความเป็นเอกภาพของ พล.ท.ธวัชชัย ที่ พล.อ.ประยุทธ์มอบหมายให้เต็มร้อยในการสั่งการ เมื่อกำลังทหารมีความเป็นเอกภาพ จึงมีความได้เปรียบกับคู่ต่อสู้ไม่น้อย นี่คือหลักการสำคัญทางทหาร ที่แยกกันชัดเจนกับการเดินเครื่องของซีกรัฐบาล

 อีกทั้งรัฐบาลก็ไฟเขียวให้แก่กองทัพอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติการรักษาอธิปไตยในครั้งนี้ ผนวกกับความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวของ 3 เหล่าทัพ คือ “ทบ.-ทร.-ทอ.” โดยเฉพาะการผุดแผน “ป้องกันประเทศ” ขึ้นมารับมือกองกำลังของกัมพูชา

 แต่ถึงกระนั้น ก็น่าเชื่อว่า เมื่อกัมพูชาเลือกที่จะก่อเรื่องเพื่อดึงประเทศที่สามเข้ามาไกล่เกลี่ย ประชาชนคนไทยในแถบชายแดนด้านตะวันออกก็จะยังคงต้องเดือดร้อน และขวัญผวากับการสู้รบในรอบกว่า 20 ปี ระหว่างไทยกับกัมพูชาอยู่

 ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า เมื่อกองทัพของเราเข้มแข็งแล้ว การเมืองระหว่างประเทศของเราจะแกร่งกร้าวด้วยหรือไม่ ?

ทีมข่าวความมั่นคง