
เสียงปืนดังที่ภูมะเขือพระวิหารหลายนัด
เสียงปืนดังทั้งปืน ค. และ อาร์พีจีหลายนัด บริเวณภูมะเขือเขาพระวิหาร แตกตื่นเก็บข้าวของวิ่งลงหลุมหลบภัย บางรายเดินทางไปศูนย์อพยพที่อำเภอเตรียมไว้ สถานการณ์ชายแดนบุรีรัมย์ยังตึงเครียด ช่วงกลางคืนยังมีเสียงปืนดังจากการปะทะที่อ.พนมดงรัก ต่อเนื่อง ขณะทางอำเภอบ
เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 26 เม.ย. เกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ อ.กันทรลักษ จ.ศรีสะเกษ โดยการปะทะกันครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ ตำบลเสาธงชัย ต่างวิ่งหาหลุมหลบภัยกันอลหม่าน โดยเสียงปืนได้ดังต่อเนื่องนานกว่า 30 นาที จากนั้นเงียบลงและยังดังประปราย กระทั่งเวลาประมาณ 14.40 น.จึงเงียบ
นายเสน บุตรราช ชรบ.ภูมิซรอล เล่าว่า ชาวบ้านภูมิซรอล ต่างก็มีความเตรียมพร้อมในการอพยพทันทีที่มีเสียงปืนดังขึ้น โดยคว้าข้าวของที่เตรียมไว้แล้ว รถยนต์และจักรยานยนต์ทุกคันเเติมน้ำมันไว้เต็ม เตรียมพร้อมตั้งแต่มีการปะทะที่จังหวัดสุรินทร์แล้ว เมื่อมีการปะทะครั้งนี้ต่างก็พาคนแก่ ผู้หญิงและเด็กขึ้นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ขับออกไปที่ศูนย์อพยพชั่วคราวในที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ทันที ส่วนที่เหลือก็วิ่งลงหลุมหลบภัย หลังจากเสียงปืนสงบ ชุด ชรบ.ก็จัดเวรยามเฝ้าระวังเหตุการณ์ สำหรับเหตุครั้งนี้มีกระแสข่าวมาอย่างต่อเนื่องและมีสิ่งบอกเหตุก่อนปะทะอยู่บ้าง
นายโชคชัย สายแก้ว นายก อบต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ กล่าวว่า หลังจากที่ชาวบ้านได้ยินเสียงปืน บริเวณภูมะเขือ ซึ่งเป็นพื้นที่แนวชายแดน ต่างตื่นตระหนกวิ่งเข้าหลุมหลบภัย บางส่วนได้เก็บสิ่งของ ขึ้นรถยนต์หลบหนีมาที่ศูนย์อพยพชั่วคราว ที่ทางอำเภอกันทรลักษ์จัดเตรียมไว้ ก่อนหน้านี้
สำหรับเสียงปืนที่ดังขึ้นบริเวณภูมะเขือ ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงปืนกลเล็ก ปืน ค. อาร์พีจี ปืนกลหนัก ปืนไร้แรงสะท้อน (ปรส.) ซึ่งขณะนี้ทางทหารของกัมพูชายังไม่มีการใช้อาวุธหนัก อย่างปืนใหญ่ยิงเข้ามาในพื้นที่ แต่เพื่อความไม่ประมาททาง อบต. และทางอำเภอกันทรลักษ์ได้แจ้งประชาชนให้ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง และหากมีการปะทะถึงขั้นมีการใช้ปืนใหญ่ก็ให้นำสิ่งของที่เตรียมไว้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภับทันที จากการปะทะกันประมาณ 10 นาที ขณะนี้เสียงปืนได้เงียบลง เนื่องจากทางผู้บังคับบัญชาทางไทยได้มีการติดต่อกับทางผู้บังคับบัญชาของกัมพูชา ให้มีการหยุดยิง
ตร.จัดกำลังตชด.หนุนทหารช่วยอพยพ
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 26 เม.ย. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวถึงเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในพื้นที่ จ.สุรินทร์ว่า ได้สั่งการให้ บช.ภ.3 บช.ตชด. สตม. บก.ภ.จว.สุรินทร์ และบก.ตชด.ภ.2 เข้าไปให้การสนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาแล้ว เบื้องต้นได้มีการอพยพประชาชนใน อ.พนมดงรัก และอ.กาบเชิง เข้ามาพักอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ซึ่งอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยและอยู่นอกวิถีกระสุน โดยขณะนี้มีประชาชนที่อพยพเข้ามาอยู่ในศูนย์ดังกล่าวประมาณ 2-3 หมื่นคน รวมไปถึงครอบครัวของตำรวจที่อยู่ในพื้นที่ด้วย
พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวอีกว่า หลังจากที่มีการอพยพประชาชนออกมาจากพื้นที่เสี่ยงภัย ทำให้ในพื้นที่ดังกล่าวว่างร้างและไม่มีผู้พักอาศัยอยู่ จึงมีการสั่งการให้จัดกำลังตำรวจในพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อเข้าไปดูแลทรัพย์สินของประชาชน นอกจากนี้จะมีการจัดกำลังตำรวจเป็นส่วนแนวหลัง เพื่อมาดูแลและช่วยเหลือประชาชนที่อพยพมาอยู่ในศูนย์พักพิง รวมทั้งจะมีการจัดกำลังตำรวจเข้าไปร่วมก่อสร้างบังเกอร์และหลุมหลบภัย ที่ตอนนี้ถือว่ายังไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึงกับประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตามขณะนี้พื้นที่ดังกล่าวมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและมีทหารเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ แต่หากต้องการกำลังสนับสนุน ทางตร.ก็พร้อมที่จะจัดกำลังของ บก.ตชด.ภ.2 เข้าไปให้การช่วยเหลือในทันที
เมื่อถามว่า จะมีการเพิ่มกำลังตำรวจดูแลสถานทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทยมากขึ้นหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่าสถานการณ์ในขณะนี้ถือว่ายังไม่มีอะไรมาก ซึ่งตร.ได้จัดส่งกำลังตำรวจเข้าไปดูแลตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยพื้นที่บริเวณสถานทูตกัมพูชาถือเป็นพื้นที่ในการดูแลอยู่แล้ว เพราะมีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงในพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้นจึงคิดว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มกำลังตำรวจเข้าไปดูแลเพิ่มเติมแต่อย่างใด
เมื่อถามอีกว่า ต้องมีการเฝ้าระวังและจับตาชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า คงเป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศและทหารจะเข้ามาดูแล ซึ่งหวังว่าประชาชนทุกคนคงจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยขณะนี้รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศก็กำลังพูดคุยและเจรจากันอยู่
บุรีรัมย์ไม่อนุญาตให้ผู้อพยพกลับบ้าน
สถานการณ์ชายแดนยังไม่คลี่คลาย ล่าสุดยังมีเสียงปืนจากการปะทะที่บริเวณชายแดน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ดังขึ้นต่อเนื่องเมื่อคืนวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทางอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ จึงยังไม่อนุญาตให้ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงภัยทั้ง 4 ตำบล มี ต.สายตะกู ต.จันทบเพชร ต.โนนเจริญ จ.บุรีรัมย์ และ ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่อพยพออกมาอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวทั้ง 6 แห่ง ในพื้นที่ อ.บ้านกรวดรวมกว่า 5,000 คน กลับเข้าบ้าน เนื่องจากเกรงจะไม่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตามได้มีชาวบ้านบางส่วนที่เป็นห่วงทรัพย์สิน เนื่องจากต้องทิ้งบ้านเรือนมาอยู่ที่ศูนย์อพยพนานถึง 5 วันแล้ว ได้หมุนเวียนกันกลับไปตรวจดูทรัพย์สินในช่วงกลางวัน แต่พอช่วงกลางคืนก็จะกลับมาอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพ เพราะ 2 วันที่ผ่านมาจะมีปะทะกันของกองกำลังทั้งสองฝ่ายในช่วงกลางคืน ขณะที่ผู้อพยพภายในศูนย์ประสบปัญหาขาดแคลนห้องน้ำไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้อพยพมีเป็นจำนวนมาก จึงร้องขอให้ภาครัฐได้สนับสนุนสุขาเคลื่อนที่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับผู้อพยพด้วย
ด้านนายณัฐ ชาติวัฒนศิริ นายอำเภอบ้านกรวด ยอมรับว่า สถานการณ์ชายแดนขณะนี้ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะยังมีเสียงปืนดังจากการปะทะที่ฝั่งพนมดงรักเป็นระยะ จึงยังไม่อนุญาตให้ชาวบ้านในศูนย์อพยพกลับเข้าบ้าน เพราะเกรงจะไม่ได้รับความปลอดภัย แต่ก็จะมีชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน อาสารักษาดินแดน และตำรวจเวนชายแดน คอยดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ภายในหมู่บ้าน ทั้งได้กำชับให้มีการตรวจตรารักษาดูแลทรัพย์สิน และสวนยางพาราของเกษตรกรอย่างเข้มงวดมากขึ้น หลังได้เกิดเหตุมิจฉาชีพลักขโมยขี้ยางพารา ของเกษตรกรที่ลี้ภัยการสู้รบในหลายหมู่บ้าน
คนโคราชร่วมใจมอบเงินช่วยทหารหารชายแดน
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่สโมสรร่วมเริงไชย ภายในค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนในจังหวัดนครราชสีมาจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปมอบเงินที่ได้รับจากการบริจาคจากภาคส่วนต่างในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 120,000 บาท ให้กับ พล.ต.วิบูลย์ กลั่นเสนาะ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อนำเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ ของทหารที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ที่กำลังเกิดการสู้รบกันอย่างหนักอยู่ในขณะนี้
พร้อมกันนี้ยังได้มอบไข่ไก่ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเอกชน จำนวน 5,000 ฟอง ให้ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้นำเป็นเป็นเสบียงเสริมให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามแนวชายแดน ไทย - กัมพูชา อีกด้วย ทั้งนี้นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้ฝากความปราถนาดี ความห่วงใย และกำลังใจจากประชาชนชาวโคราชทุกคน ไปถึงทหารหาญที่กำลังทำหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถด้วย
ชาวเขมรยังค้าขายในตลาดโรงเกลือสระแก้ว
ที่ด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้เปิดตามปกติเวลา 07.00 น.โดยมีประชาชน พ่อค้า แม่ค้าชาวเขมรจำนวนมากแห่เดินทางเข้ามาทำการค้าและรับจ้างในตลาดโรงเกลือ ฝั่งไทยกันอย่างคึกคัก โดยมีชาวเขมรบางส่วนนำสินค้าการเกษตรเข้ามาขายในตลาดโรงเกลือด้วย และชาวเขมรก็ยังคงซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค จากตลาดโรงเกลือ กลับไปฝั่งกัมพูชา ท่ามกลางกระแสข่าวลือสะพัดไปทั่วกรุงปอยเปต ฝั่งประเทศกัมพูชา ว่ามีทหารเวียตนามประมาณ 1 กองพล ได้เดินทางมาช่วยทหารเขมรสู้รบกับทหารไทย ทางด้านชายแดนปราสาทตาควาย จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา โดยสถานีวิทยุท้องถิ่นของกัมพูชา ซึ่งรับฟังได้ในตลาดปอยเปต ได้โหมกระพือข่าวดังกล่าว โดยดีเจ ผู้ประกาศพยายามพูดทำนองว่าชาวเขมรทุกคนไม่ต้องกลัวทหารไทยแล้วเพราะขณะนี้ทหารเวียตนามได้ส่งกำลังมาช่วยเขมรรบกับทหารไทยแล้ว นอกจากนี้สถานีวิทยุดังกล่าวยังพยายามปลุกระดมไม่ให้ชาวเขมรเข้ามาในประเทศไทย อีกทั้งดีเจ ได้พูดเรียกร้องให้ชาวเขมรที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย เดินทางกลับประเทศกัมพูชาโดยด่วนเพราะประเทศไทยไม่ประสงค์ดีหรือจริงใจกับชาวกัมพูชา และยังเชิญชวนชาวกัมพูชา ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อนำไปช่วยทหารกัมพูชาที่สู้รบกับทหารไทยทางด้านชายแดนปราสาทตาควาย โดยให้ชาวเขมรไปบริจาคที่โต๊ะรับบริจาคบริเวณหน้าด่านชายแดนปอยเปต เชิงสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา ฝั่งกัมพูชา
ส่วนบรรยากาศช่องทางขาออกด่าน ตม.อรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรอรัญประเทศ เป็นไปด้วยความเงียบเหงานักท่องเที่ยวชาวไทยยกเลิกการเดินทางไปเที่ยวนครวัด-นครทม ของกัมพูชา มีเพียงนักพนันและพนักงานบ่อนกาสิโนชาวไทย ที่ยังคงเดินทางออกไปฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา
ต่อมา ขณะที่ ร.อ.ชาญ ว่องไวเมธี ผบ.ร้อย ทพ. 1206 ฉก.กรม.ทพ. 12 กกล.บูรพา ซึ่งดูแลรับผิดชอบชายแดนตั้งแต่ด่านพรมแดนอรัญประเทศ และตลาดโรงเกลือ ได้นำกำลังตั้งจุดตรวจค้นชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้าประเทศไทยอย่างเข้มงวด บริเวณทางเข้าตลาดโรงเกลือ หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้พบชาวเขมรลักษณะการแต่งกายเป็นชาวเขมรมุสลิม จำนวน 16 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 5 คน เดินอุ้มและจูงเด็กเล็กๆ อีก 7 คน เดินหิ้วกระเป๋าข้ามด่านพรมแดนอรัญประเทศ จากฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา เข้ามาในประเทศไทย เมื่อถึงจุดตรวจ จนท.จึงสอบถามทราบว่าเป็นชาวเขมรมุสลิม เดินทางมาจาก จ.กัมปงจาม ประเทศกัมพูชา แจ้งว่าจะเดินทางไปอาศัยอยู่กับญาตที่ชายแดนประเทศมาเลเซีย โดยเดินทางเข้าประเทศไทยแล้วออกไปมาเลเซียทางด่านชายแดน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งชาวเขมรมุสลิมอ้างว่ากลัวเกิดสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา จึงต้องหอบลูกจูงหลาน เดินทางไปอยู่กับญาติที่ประเทศมาเลเซียช่วยคราว ซึ่ง จนท.ได้ตรวจค้นอย่างเข้มงวดก่อนอนุญาตให้เดินทางต่อไปได้ เนื่องจากชาวเขมรมุสลิมมีหนังสือเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้อง จากนั้น จนท.ได้ทำการตรวจค้นแรงงานชาวเขมรกว่า 50 คน ที่จะเดินทางไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ในประเทศไทย ตามข้อตกลงเอ็มโอยู ซึ่งเป็นแรงงานขออนุญาตเข้ามาทำงานโดยถูกกฎหมาย
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวบางรายบอกว่าจากข่าวการปะทะกันระหว่างทหารไทย-ทหารกัมพูชาที่ชายแดน จ.สุรินทร์ ทำให้เกิดความกลัวเหมือนกันแต่ตลาดโรงเกลือ ห่างจากจุดปะทะหลายร้อยกิโลเมตร คาดเหตุการณ์คงไม่มาถึงตลาดโรงเกลือ จึงทำให้ไม่กลัวข่าวการสู้รบ