
พร้อมอพยพหากเขมรเปิดฉากที่พระวิหาร
สถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังคงเป็นปกติ แต่ทหารยังคงตรึงกำลัง เตรียมพร้อม 100 % รอฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ขณะที่ชาวบ้านก็ยังคงหวาดผวาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ จ.สุรินทร์ เนื่องจากเกรงว่าเหตุ
(25เม.ย.) นายวิจิตร ศรเพชร อายุ 33 ปี ชาวบ้านซำร่อง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ขณะนี้ก็ยังรู้สึกวิตกอยู่ เพราะได้ยินข่าวมาเรื่อย ๆ นอนหลับไม่สนิทมาหลายคืนแล้ว เสื้อผ้าและเอกสารสำคัญต่าง ๆก็เก็บเตรียมไว้แล้ว ความรู้สึกตอนนี้บอกตามตรงว่าไม่ค่อยสบายใจ จะทำอะไรก็ไม่เป็นอันทำ ฝนตกลงมาว่าจะไปปลูกมันก็ไม่กล้าไป กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา
“เห็นข่าวที่สุรินทร์แล้วก็รู้สึกสงสารเขาเพราะเราก็เคยประสบมากับตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ทำได้แค่ส่งกำลังใจไปให้ และขอให้มั่นใจว่าทหารเขาไม่ปล่อยให้เราเป็นอะไรไปแน่ แต่เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วย อยากวิงวอนไปถึงรัฐบาล เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้จะแก้ไขปัญหาอย่างไร อยากให้เห็นใจประชาชนคนรากหญ้าอย่างเราด้วย เพราะพวกเราไม่รู้เกมการเมืองของรัฐบาลว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร ยังไงก็ขอให้เร่งแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จโดยด่วนที่สุด" นายวิจิตรกล่าว
นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวถึงจากสถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ที่ จ.สุรินทร์ในขณะนี้ว่า จากการประสานไปยังทหารชั้นผู้ใหญ่ได้รับการยืนยันว่า จะไม่มีการขยายแนวรบมายังเขตพื้นที่ เขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เนื่องจากชายแดนทางด้าน จ.ศรีสะเกษทหารทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก มีการพบปะหารือ และแข่งขันกีฬาเชื่อมสัมพันธไมตรีอย่างสม่ำเสมอ
“ฝากไปถึงประชาชนชาวศรีสะเกษที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชาว่า ขณะนี้สถานการณ์ตามแนวชายแดนด้าน จ.ศรีสะเกษ ยังคงปกติทุกอย่าง และจะไม่มีการสู้รบกันเกิดขึ้นที่บริเวณเขาพระวิหารอย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท ได้แจ้งเตือนให้ประชาชนติดตามเฝ้าฟังข่าวสารของทางราชการ แต่หากมีการสู้รบขึ้น ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก็พร้อมที่จะอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากว่ามีการวางแผนการอพยพเอาไว้เรียบร้อยแล้ว " ผวจ.ศรีสะเกษกล่าว
จทบ.บุรีรัมย์ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจชรบ.หมู่บ้านเสี่ยงภัย
พ.อ.สนธยา ศรีเจริญ รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ พร้อมคณะนายทหาร ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น ให้กับชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน (ชรบ.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาสารักษาดินแดน ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สิน และป้องกันกลุ่มโจรผู้ร้ายก่อเหตุลักขโมยทรัพย์สินของประชาชน ในหมู่บ้านเสี่ยงภัยตามแนวชายแดน ในพื้นที่ ต.สายตะกู และ ต.จันทบเพชร ที่อพยพลี้ภัยการสู้รบระหว่างทหารไทยกับฝ่ายกัมพูชา ไปอาศัยอยู่ตามศูนย์อพยพต่างๆ ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการหนีภัยสงครามอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ได้รับรายงานมีผู้เข้าไปขโมยลักทรัพย์สินของประชาชนที่ลี้ภัยสงครามในพื้นที่ตำบลสายตะกู จับผู้ต้องหาได้ 7 คน พร้อมกันนี้ยังได้ซักซ้อมวิธีการใช้หลุมหลบภัยหากเกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรงเกิดขึ้นดังกล่าวด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารไทยกับฝ่ายกัมพูชายังตึงเครียด โดยเมื่อคืนวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ยังมีการปะทะระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่าย ที่บริเวณชายแดน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และมีรายงานทหารพราน สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 นาย
จากการเหตุการณ์ดังกล่าวทาง นายณัฐ ชาติวัฒนศิริ นายอำเภอบ้านกรวด ได้สั่งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อพยพชาวบ้านที่ยังหลงเหลืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ใน ต.สายตะกู ออกจากหมู่บ้านทั้งหมด เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากจุดปะทะอยู่ห่างจากหมู่บ้านเพียง 4 - 5 กิโลเมตร โดยให้เหลือเพียงชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสารักษาดินแดน และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คอยดูแลรักษาความปลอดภัยภายในหมู่บ้านเท่านั้น
โฆษกกองทัพภาคที่2ลั่นสงครามนี้ไทยไม่มีวันแพ้
เมื่อเวลา 11.00 น. พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่ากองทัพไทยได้ใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศโจมตีฝ่ายกัมพูชานั้น ขอยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้ใช้กำลังกองกำลังป้องกันชายแดนประจำปีตามปกติ ไม่เคยมีการใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศมาสนับสนุนการสู้รบในครั้งนี้ ไม่มีการใช้กำลังทางอากาศล่วงล้ำอธิปไตยของกัมพูชาอย่างแน่นอน
ส่วนเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกวันที่ 24 เม.ย.2554 ที่ผ่านมาได้รับรายงานว่าสถานการณ์การปะทะได้คลี่คลายลงเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. แต่ในช่วงค่ำเกิดเหตุไม่เชิงว่าเป็นการปะทะ ซึ่งทางกองทัพถือว่าเป็นการปฏิบัติทางทหาร เนื่องจากทางฝ่ายกัมพูชาเห็นว่ามีการวางกำลังเผชิญหน้ากันจึงได้ส่งกองลาดตระเวนพยายามเข้ามาสอดแนมในเขตที่ตั้งของทหารไทย และทางทหารไทยพบเข้าจึงมีการปะทะกันเล็กน้อยด้วยอาวุธปืนเล็ก แต่หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติและยังไม่มีรายงานการปะทะกันเกิดขึ้นอีก ซึ่งเหตุปะทะครั้งนี้ทำให้ผู้บังคับหมวดชุดดังกล่าวยศร้อยโท ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดระหว่างการปะทะ แต่ได้รับการผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดออกเรียบร้อย ล่าสุดปลอดภัยแล้ว
ส่วนการเจรจาระหว่างผู้นำทหารของกองทัพภาคที่ 2 กับฝ่ายกัมพูชานั้น พ.อ.ประวิทย์ฯ กล่าวว่า ทางผู้บังคับบัญชาในพื้นที่และทางแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กำชับให้พยายามเจรจาพูดคุยกับผู้นำทหารในทุกระดับของฝ่ายกัมพูชาทุกครั้งที่เกิดการปะทะ เพื่อไม่ให้วงสู้รบขยายวงกว้างออกไป แต่จนถึงขณะนี้มองว่า ทางกัมพูชามีเพียงสมเด็จ ฮุนเซน ผู้นำฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ตัดสินใจได้เพียงคนเดียว ดังนั้นการประสานต่างๆจึงไม่สัมฤทธิ์ผล
ส่วนแนวโน้มที่พื้นที่การปะทะจะขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น พ.อ.ประวิทย์ฯ กล่าวว่า ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 พยายามที่จะจำกัดพื้นที่ของการปะทะให้อยู่ในวงที่จำกัดมากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.2554 ที่ผ่านมา เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปราสาทตาควาย ขยายมาที่ปราสาทตาเมือนธม และเมื่อวานนี้การปะทะก็อยู่ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมเท่านั้น ยังไม่มีการขยายออกไปที่อื่น ซึ่งจะเห็นได้ว่าทางทหารไทยได้พยายามจำกัดให้วงของการสู้รบอยู่เพียงในพื้นที่เท่านั้น ส่วนจุดประสงค์ของฝ่ายกัมพูชาที่แท้จริงแล้วจะเข้ายึดปราสาทตาความหรือว่าปราสาทตาเมือนธมนั้น ไม่ขอตอบเพราะเกรงว่าจะเกิดการผิดพลาด
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า ตามที่กัมพูชากล่าวหาว่าทหารไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชานั้น ขอยืนยันว่าทางกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพบกไทยไม่เคยมีอาวุธชนิดนี้ประจำอยู่ในกองทัพ เช่นเดียวกับคลัสเตอร์บอมบ์ก็ไม่เคยมีบรรจุหรือประจำอยู่ในกองทัพเช่นเดียวกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศไทยจะใช้อาวุธชนิดนี้ในการตอบโต้ฝ่ายกัมพูชา และสถานการณ์ ณ ขณะนี้ ยังประเมินได้ว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอการสนับสนุนเครื่องบินรบหรือกำลังทางอากาศจากกองทัพอากาศ และยืนยันว่าการสู้รบกับฝ่ายกัมพูชาไม่ว่าจะรูปแบบใดความเป็นไปได้ที่ทางกองทัพไทยจะพ่ายแพ้นั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีโอกาสเลย