ข่าว

เขมรหวังดึงอินโดฯสังเกตการณ์ปมปะทะ"ตาควาย-ตาเมือนธม"

เขมรหวังดึงอินโดฯสังเกตการณ์ปมปะทะ"ตาควาย-ตาเมือนธม"

23 เม.ย. 2554

เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย และตาเมือนธม หลังเสียงปืนใหญ่ที่ยิงถล่มใส่กัน ทำให้ทหารชุดลาดตระเวนของกองร้อยทหารพรานที่ 2606 กองกำลังสุรนารี เสียชีวิต 4 นาย และบาดเจ็บนับสิบนาย

 สาเหตุเกิดจากการ "เจรจาล้มเหลว" หลังชุดลาดตระเวนไปพบทหารกัมพูชากำลังขุดหลุมดัดแปลงฐานที่มั่นทางทิศตะวันออกของปราสาทตาควาย แต่เมื่อเจรจาไม่เป็นผบ ทหารไทย-กัมพูชาจึงเปิดฉากเข้าหากันทันที โดยทหารกัมพูชาเปิดศึกยิงถล่มทหารไทยก่อน

 จากการประเมินของฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า เหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนคงไม่จบเพียงเท่านี้ ตราบที่ยังไม่มีการจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ

 เนื่องจากทหารไทยและกัมพูชาต่าง "ถือแผนที่" กันคนละฉบับ ที่สำคัญกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังรักษาอธิปไตยไว้เต็มอัตราศึก และไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับลง จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงเหตุปะทะกันได้

 อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของกองทัพ เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางไปเยือนประเทศอินโดนีเซีย

 โดยหัวข้อสำคัญอย่างหนึ่งในการเจรจา คือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา หลังจากก่อนหน้านั้น พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา เดินทางไปอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 7-8 เมษายน ที่ผ่านมา

 จุดยืนของกัมพูชาคือ ต้องการให้อินโดนีเซียเข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะการส่งกำลังทางทหารของอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณปราสาทพระวิหาร

 ดังนั้น ทางอินโดนีเซียจึงทำหนังสือด่วนมายัง พล.อ.ประวิตร เพื่อขอหารือถึงทางออกในเรื่องดังกล่าว ในฐานะที่อินโดนีเซียเป็น "ประธาน" กลุ่มอาเซียน

 ทั้งยังอ้างอิงถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) เมื่อต้นเดือนเมษายน ซึ่ง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปประชุมพร้อมกับ นายอัษฎางค์ ชัยนาม ในฐานะประธานเจบีซีฝ่ายไทย

 การประชุมครั้งนั้น มีข้อตกลงเบื้องต้นว่า อินโดนีเซียจะขอส่งกำลังทหารเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตามเงื่อนไขข้อตกลง หรือทีโออาร์ (Term of Reference)

 โดยอินโดนีเซียยื่นทีโออาร์เสนอต่อนายกษิตเพื่อส่งทหารอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ มีเนื้อหา 3 หน้ากระดาษ

 เนื้อหาสรุปได้ว่า อินโดนีเซียจะส่งทีมสังเกตการณ์ หรือ ไอโอที (The Indonesian Observers Team) ประกอบด้วย ทหาร และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 30 นาย

 แบ่งเป็น ทีมสังเกตการณ์อินโดนีเซีย-กัมพูชา (IOT-C) จำนวน 15 คน จะเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในฝั่งกัมพูชา และทีมสังเกตการณ์อินโดนีเซีย-ไทย (IOT-T) จำนวน 15 คน จะเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในฝั่งไทย

 แต่จุดยืนของกองทัพจะ “ไม่ยอม” ให้อินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทย จึงพยายามยื้อเรื่องนี้ และการเดินทางไปเยือนอินโดนีเซียของ พล.อ.ประวิตร ก็นำนายอัษฎางค์ ในฐานะประธานเจบีซีฝ่ายไทย ไปพูดคุยเจรจาในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

 การเดินทางเยือนอินโดนีเซียของผู้นำเหล่าทัพในครั้งที่ผ่านมา สรุปก็ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน โดยเฉพาะจุดยืนของไทยจะไม่ให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซง

 เหตุปะทะรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน จึงถูกมองว่า เป็นการ "รุกคืบ" ของกัมพูชา เพื่อต้องการเดินเกมให้ไทยยินยอมให้อินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศไม่สามารถควบคุมเหตุรุนแรงได้

 นอกจากนี้ ท่าทีที่ผ่านมาของกัมพูชาก็พยายาม "ยั่วยุ" ให้ไทยใช้กำลังตลอด เช่น พยายามสร้างถนนเข้ามาในพื้นที่ข้อพิพาท รวมทั้งการขุดหลุมดัดแปลงฐานที่มั่นของกัมพูชาบริเวณทิศตะวันออกของปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

 ความพยายามยั่วยุฝ่ายไทยให้ใช้กำลังก่อน หรืออย่างน้อยก็ใช้กำลังโต้ตอบอย่างรุนแรงเช่นนี้ จึงเป็นหมากกลของฝ่ายกัมพูชา ที่ต้องการใช้การเปิดยุทธวิธีทางทหาร เพื่อเดินไปสู่ยุทธศาสตร์การ "ยกระดับ" เหตุการณ์ความขัดแย้งให้ไปสู่ประเทศที่สาม และในเวทีโลกต่อไป

ทีมข่าวความมั่นคง