ข่าว

ไทย-เขมรปะทะเดือดชายแดนสุรินทร์

ไทย-เขมรปะทะเดือดชายแดนสุรินทร์

22 เม.ย. 2554

ชายแดนไทย-เขมรด้านจ.สุรินทร์เดือดทหาร 2 ฝ่ายปะทะนาน 5 ชั่วโมง ชาวบ้านแนวชายแดดหลบหนีอลหมาน ด้านตชด.21 เร่งอพยพประชาชนตามแนวปะทะมาที่ รร.พนมดงรักวิทยา ขณะที่โฆษก ทบ. เผย ยังไม่มีรายงานบาดเจ็บและเสียชีวิต

(22เม.ย.) เวลา 05.00 น. เกิดเหตุทหารไทยปะทะทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ตกเข้าในหมู่บ้าน ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนเสียหายในเบื้องต้น 3 หลัง ชาวบ้าน 20 หมู่บ้านใน ต.บักได ต้องเร่งอพยพออกจากบ้านกันอย่างอลหมาน

นายวินันท์ สุขประสบ กำนันตำบลบักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้อพยพลูกบ้าน 20 หมู่บ้าน เกือบหมื่นคนออกจากหมู่บ้านมาร่วมกัน 3 จุด ประกอบด้วย ที่โรงเรียนพนมดงรักวิทยา ต.จีกแดก ที่บ้านโคกกลาง และที่นิคมสร้างตนเอง อ.ปราสารท ซึ่งเป็นจุดอพยพตามแผนที่ทางภาครัฐได้เตรียมการไว้หากเกิดภัยสงคราม

“ขณะนี้ชาวบ้านหลายคนอย่ในอาการหวาดวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเสียงปืนเล็ก และปืนใหญ่ยิงเข้าใส่หมู่บ้านฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนแตกตื่นวิ่งหลบหนีกันอลหมาน จนเกิดความวุ่นวาย” นายวินันท์ กล่าว

ในเบื้องต้นได้มีการประสานไปยังที่ว่าการอำเภอพนมดงรักและสภ.พนมดงรัก เจ้าหน้าที่ อพปร.เข้ามาช่วยเหลือในการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ โดยขณะนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากเนื่องจากเหตุเกิดในช่วงเช้า ทำให้หลายคนยังไม่ได้ทานอาหาร จึงอยากวิงวอนทางภาครัฐเร่งช่วยเหลือในเรื่องอาหาร น้ำดื่มและสุขาเคลื่อนที่ โดยด่วน

แหล่งข่าวรายงานว่ามีกระสุนปืนใหญ่จากเขมรยิงเข้ามาบ้านไทยสันติสุข ต.บักได โดยทหารเขมรได้ยิงปืนมาจากตีนเขา โดยทหารเขมรนำกำลังรับจากกองพลน้อย 42 กองพลทหารภูมิภาคที่ 4 ประเทศกัมพูชา ที่มีพล.ท.เจียมอน ผบ.กองพลภูมิภาคที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบพื้นที่จ.พระวิหาร-จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และเป็นผู้บัญชาการ โดยตั้งกำ ลังห่างจากชายแดนไทย 6 กม. อยู่บริเวณ บ้านกู่ ต.บันเตีย อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยมีอาวุธหนักทั้งปืนใหญ่ รถถัง อาวุธขนาดกลาง มีปืน ค. ปืนอาร์พีจี 7 จำนวนมาก 

สำหรับกองกำลังทหารเขมาทได้แยกกันอยู่ 2 จุดคือ ปราสาทตาเมือนควาย 1 จุด จำนวน 500 นาย และตาเมือนธม 1 จุด อีก 500 นาย ซึ่งแต่ละจุดมีรถถังจุดละ 5 คัน โดยกองกำลังเขมรที่อยู่ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ได้รับการสนับสนุนกองกำลังทหารบก บันเตียเมียนเจย จำนวน 1 กองพัน โดยมีอาวุธหนักปืนใหญ่ประมาณ 3 กระบอก 5 รถถัง 5 คัน ซึ่งเป็นกองกำลังที่เดินทางมาจากชายแดนเขาพระวิหาร เข้ามาสมทบกองพลน้อย 42

พล.ต.ต.ดร.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. ได้ทวิตใน twittir@policespokesman ว่า ขณะนี้ ตชด.21 กำลังเร่งอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่ในแนวปะทะมาที่ร.ร.พนมดงรักวิทยา จ.สุรินทร์ ห่างจากจุดปะทะประมาณ 12 กม. โดย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ ผบช.ตชด. สนับสนุนการปฏิบัติของทหารอย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยประชาชนเป็นอันดับแรก

ด้านพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก เปิดเผยความคืบหน้า กรณีเกิดเสียงปืนดังเป็นระยะ บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ใน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ใกล้เคียงกับ ปราสาทตาเหมือนธมว่า เหตุดังกล่าวมีจริง โดยเกิดการยิงปะทะตั้งแต่เวลา ประมาณ 06.45 น. โดยมีการยิงปืนเล็กและได้ยินเสียงปืนใหญ่มาเป็นระยะ โดยจุดที่เกิดเหตุยังไม่ยืนยันว่า เป็นจุดภายในปราสาทตาเมือนธม หรือไม่ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 เจ้าของพื้นที่ ได้รับทราบรายงานแล้ว และได้แจ้งให้ประชาชนที่อาศัยย่านดังกล่าวเตรียมพร้อมอพยพ แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนอพยพประชาชน ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานความสูญเสีย เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถ เข้าพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ทางด้านแนวชายแดน จ.ศรีสะเกษ ก็มีประชาชนได้ยินเสียงปืนใหญ่และระเบิด เช่นกัน ซึ่งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ ออกมายืนยันเหตุดังกล่าวได้ ส่วนความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุปะทะทหารไทย-เขมร มีทหารไทยบาดเจ็บจากถูกสะเก็ดระเบิด และถูกนำส่ง รพ.ศูนย์สุรินทร์ แล้วจำนวน 6 คน คือ 1.จ.ส.อ.ธนเศรษฐ สาคร (ยังไม่ทราบสังกัด) 2.ส.อ.กิตติเดช ทองศรี (ยังไม่ทราบสังกัด) 3.ทหารพรานศุภชัย ฤทธิ์แสง (ยังไม่ทราบสังกัด) 4.ทหารพรานอดิเรก แซ่อึ้ง (ยังไม่ทราบสังกัด) 5.ทหารพรานทองเลื่อน ศรีสุข (ยังไม่ทราบสังกัด) 6.ทหารพรานบุญฤทธิ์ บัวงาม สังกัด ร้อยทหารพราน 2606 เบื้องต้นมีรายงานว่าเสียชีวิตแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเหตุการณ์ปะทะไทย-กัมพูชา มีทหารไทยเสียชีวิต 2 ศพ และมีบาดเจ็บอีก 7 คน

นายปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมได้รายงานเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่ง จ.สุรินทร์ ให้นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว เบื้องต้นพบว่า มีนายทหารจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บและได้ส่งไปรักษาตัวรพ.พนมดงรัก และนายกฯได้สั่งให้ดูแลความปลอดภัยประชาชนอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ก็ได้อพยพประชาชนที่อยู่ในบริเวณแนวปะทะออกจากพื้นที่แล้ว แต่ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ และหากสถานการณ์นิ่งประชาชนก็สามารถกลับเข้าพื้นที่ได้

 นายปณิธาน กล่าวอีกว่า ส่วนรายละเอียดจุดเริ่มต้นการปะทะนั้น ทางกระทรวงกลาโหมอยู่ระหว่างการตรวจสอบคาดว่าจะทราบผลๆนี้ ส่วนการปะทะที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องเพิ่มกำลังในพื้นที่ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เพียงพอแล้ว ส่วนความเข้าใจของนานาชาติที่จับตาความขัดแย้งนั้น คาดว่า กระทรวงต่างประเทศจะเป็นผู้ชี้แจง อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสถานการณ์คลี่คลายแล้วแต่ยังไม่นิ่ง

ถามว่า เหตุปะทะที่เกิดขึ้นจะเป็นการกดดันให้ผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซีย เข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่หรือไม่ นายปณิธาน กล่าวว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น เชื่อว่านานาชาติเข้าใจ พื้นที่ที่มีเหตุปะทะไทยดูแลอยู่ และได้มีการทำข้อตกลงในพื้นที่ไว้แล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่าทหารของเราอยู่ในที่ตั้งไม่มีการเคลื่อนกำลังใดๆ แต่เหตุปะทะอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้ปฏิบัติงาน 

ทางด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้รับทราบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา บริเวณชายแดน จ.สุรินทร์ แล้ว และได้มีการประสานมาว่าขณะนี้เหตุการณ์ได้ยุติแล้ว และอยู่หว่างการตรวจสอบรายละเอียดและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร และได้สั่งการให้นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ไปดูแลประชาชนที่มีการอพยพออกนอกพื้นที่ปะทะ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นต้องเน้นย้ำว่าการตรึงกำลังของทหารที่อยู่ใกล้กันถ้ามีการเคลื่อนไหว ก็อาจจะเกิดเหตุปะทะขึ้นได้ แต่ในส่วนของไทยไม่มีเจตนาที่จะไปดำเนินการอะไรก่อนอย่างแน่นอน

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานตรวจสอบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางกองทัพ และหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย หรือยืดเยื้อออกไป ซึ่งที่ผ่านมาทั้งไทยและกัมพูชา พยายามใช้ความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด และทางการไทยก็ได้มีการหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ตนยังไม่ได้ประสานไปยังฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากในระดับพื้นมีกลไกการดำเนินการของกองทัพทั้ง 2 ฝ่ายอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการอพยพประชาชนออกนอนพื้นที่นั้น ต้องดูรายละเอียดของสถานการณ์ว่าถึงขั้นรุนแรงหรือไม่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนมิถุนายนนี้