
ฉีกบัตรเลือกตั้ง...เหมือนและต่างกับการรณรงค์ Vote No อย่างไร?
วันก่อนฟัง อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เคยดังมาจากการ ฉีกบัตรเลือกตั้ง ทางวิทยุจุฬาฯ เปรียบเทียบให้ฟังระหว่าง ฉีกบัตร กับ Vote No แล้วก็กระตุ้นให้ต้องคิดเรื่องนี้ให้กว้างไกลออกไป
อาจารย์ไชยันต์บอกว่า “การฉีกบัตรคือการไม่เอาการเลือกตั้ง ไม่ใช่ไม่เลือกใครเลย ความจริง ครั้งนั้นผมก็ไม่เลือกใครด้วยแหละ แต่ที่สำคัญคือไม่เอาการเลือกตั้งครั้งนั้น แต่พันธมิตร (ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ที่รณรงค์ครั้งนี้เขาไม่ได้ประสงค์ที่จะปฏิเสธการเลือกตั้ง..."
การ Vote No หรือกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใครนั้นเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่ประการใด อาจารย์บอกว่าประเด็นทางการเมืองมีอยู่เพียงว่า การรณรงค์ Vote No นั้นจะมีผลได้เสียกับพรรคอื่นหรือไม่ แต่เท่าที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองใดโวยวายเรื่องนี้ จึงไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวสำหรับพรรคการเมืองแต่อย่างใด
การออกมาโหวตไม่เลือกใครเลยนั้นย่อมดีกว่าคนที่นอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ไปใช้สิทธิ์ในวันเลือกตั้งเลย อาจารย์ไชยันต์บอกว่า ที่พันธมิตรรณรงค์ให้ Vote No นั้นไม่ผิดกฎหมายและไม่ได้ขัดกับระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่อาจจะเกิดคำถามว่าพันธมิตรตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว ไม่พร้อมจะลงแข่งขันในการเลือกตั้งหรืออย่างไร จึงรณรงค์ให้ผู้คนไปกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ผู้สมัครคนใดเลยเท่านั้นเอง
แปลว่าการ “ฉีกบัตรเลือกตั้ง” นั้นผิดกฎหมายแน่ แต่จะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อาจารย์ไชยันต์ไม่ได้สาธยายในการสนทนาทางวิทยุจุฬาฯ วันนั้น
ผมมองว่าการฉีกบัตรก็เป็นการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง แม้กฎหมายจะเขียนเอาไว้ว่า การทำลายสิ่งของที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิ์นั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องลงโทษตามกฎหมาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการแสดงออกถึงความไม่พอใจในการจัดการเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่งนั้น จะเป็นเรื่องนอกเหนือระบอบประชาธิปไตย
แต่ถ้าถามต่อว่าการไป Vote No ครั้งนี้จะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้มากน้อยแค่ไหน นั่นย่อมเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะต้องถกแถลงกัน เหมือนที่มีคนถามว่า ผลเลือกตั้งคราวนี้ออกมาอย่างไร บ้านเมืองก็ไม่นิ่ง และความวุ่นวายทางการเมืองก็ยังไม่หายไปอยู่ดี ถ้าถามคนที่พูดอย่างนี้ว่าไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งหรืออย่างไร? ถ้าไม่เลือกตั้ง จะให้ทำอย่างไร? จะยังเชื่อว่า “มาตรา 7” สามารถทำให้มี “รัฐบาลพิเศษ” หรือที่เรียกว่า “รัฐบาลพระราชทาน” อย่างนั้นหรือ?
คำตอบก็คือว่าใครที่พยายามตีความรัฐธรรมนูญ ว่าสามารถระงับการใช้บางมาตราเพื่อให้มี “รัฐบาลพิเศษ” นั้นยากเย็นและวุ่นวายไม่น้อยกว่าทหารปฏิวัติ...เพราะจะเกิดคำถามเรื่อง “อย่างนี้เป็นประชาธิปไตยตรงไหน?” ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
ดังนั้น ไม่ว่าบรรยากาศบ้านเมืองจะสับสน หรือผู้คนจะ “เซ็ง” กับลูกเล่นและความเป็นศรีธนญชัยของนักเลือกตั้งที่กำลังยื้อแย่งอำนาจกันเพียงใด เราก็ยังต้องเดินไปตามเส้นทางที่ “เลวน้อยที่สุด” นั่นคือการให้ประชาชนออกมาลงคะแนนเสียง เพื่อตัดสินว่าจะให้คนกลุ่มไหนบริหารบ้านเมืองภายใต้นโยบายอะไร
การรณรงค์ให้ Vote No เป็นทางเลือกในการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง ต่างกับการ “ฉีกบัตร” ตรงที่การเลือกวิธีอย่างหลังนี้ผิดกฎหมายเลือกตั้งเพราะทำลายสิ่งของ แม้ว่าโดยจิตวิญญาณแห่งการแสดงออกแล้ว ผมก็เห็นว่าไม่ได้ผิดกติกาแห่งการแสดงจุดยืนอย่างไร
เมื่อเราต่างอ้างว่าจะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และยังไม่มีวิธีอื่นใดที่สะท้อนความต้องการของชาวบ้านได้ดีกว่าการไปกาบัตรเลือกตั้ง (มาตรา 7 ปฏิวัติ นอนอยู่กับบ้าน) ผมก็ถือว่าการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้น
และผลออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับ...เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า
ใครโกงเลือกตั้ง ใครทำผิดกฎหมาย ใครใช้วิธีการซับซ้อนยอกย้อน ใครจงใจหลอกลวงประชาชนก็ว่ากันไปตามกฎหมาย
การเมืองภาคประชาชนที่รับผิดชอบ และสะท้อนความต้องการของคนกลุ่มต่างๆ จะต้องมีบทบาทสำคัญและการแสดงออกจะต้องเป็นไปอย่างสันติ ปราศจากความรุนแรง เพื่อผลักดันให้เกิดความถูกต้องชอบธรรมแห่งแผ่นดิน ทางเลือกอื่นนอกเหนือจากนี้ก็มี แต่เราพร้อมจะรับความเสี่ยงและความสูญเสียอันเกิดจากการไม่ใช้เหตุและผลของการอยู่ในสังคมร่วมกันหรือไม่? ฟังเหมือนยุ่งยาก แต่ความจริงการเลือกสำหรับสังคมไทยไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร
ที่ยุ่งๆ อยู่ก็เพราะกิเลสและความละโมบเกินขอบเขต ของความดีงามของสังคมเท่านั้นแหละ
สุทธิชัย หยุ่น