
ไฮฮอตวันเสาร์รักล้นบ้าน"เสนาณรงค์"
ต้อนรับวันครอบครัวอบอุ่น กับการเปิดบ้าน 3 พี่น้อง "เสนาณรงค์ ย่านกรุงเทพกรีฑา ที่มีอายุกว่า 20 ปี เรื่องราวความรักของทั้ง 8 ชีวิตกับสีสันในบ้านแสนสดใสแวววาวเหมือนลูกปัดที่ใช้เป็นชื่อบ้าน คงเป็นแบบอย่างให้หลายคนได้เห็นข้อดีของการมีครอบครัวใหญ่ที่ไม่วุ่นวา
เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านลูกปัด ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าบ้านทั้ง 3 อย่าง “มะปราง" ปัทมาวดี เสนาณรงค์ น้องเล็กของพี่ๆ ที่ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ผู้จัดการโรงเรียนอนุบาลยุคลธร กิจการครอบครัวที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น ตามมาด้วย "ปูม้า" ปัทมศักดิ์ เสนาณรงค์ พี่ชายคนโตผู้มีอารมณ์ขันที่สุดในบ้าน สมกับหน้าที่ ประชาสัมพันธ์ ของบริษัท การบินไทย จำกัด ปิดท้ายด้วย "ปลาหมึก" ปัทมนิธิ เสนาณรงค์ หัวหน้าโครงการทั่วไป มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ควงคู่ภรรยา "เอ" ฌาริณีย์ เสนาณรงค์ มาร่วมพูดคุยในครั้งนี้ด้วย
บรรยากาศของห้องรับแขกที่ดูสบายๆ รายล้อมไปด้วยรูปภาพแห่งความรักของครอบครัว โดยเฉพาะรูป ท่านหญิงปัทมนรังษี และ ทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ เจ้าบ้านและผู้เป็นแบบอย่างการใช้ชีวิตของพี่น้องในบ้านหลังนี้ สีสันของบ้านที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ "น้องจาร์" ปัทม สุจริตกุล ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน วัย 12 ปี ของแม่มะปราง ในบุคลิกนิ่งๆ เพราะกำลังเข้าสู่วัยหนุ่ม และ "น้องกอบัว" กอบัว เสนาณรงค์ ลูกสาวคนเดียวของพ่อปลาหมึกและแม่เอ วัย 5 ขวบครึ่ง ที่บอกได้คำเดียวว่ากำลังซนได้ที่ ชนิดที่ว่ามีน้องกอบัวที่ไหนจะไม่เงียบเหงาแน่นอน
เมื่อมารวมตัวกันจนครบเราก็เริ่มเจาะลึกความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้
- พี่น้อง 3 คนต่างก็มีหน้าที่การงาน และมีครอบครัวกันบ้างแล้ว ทำไมถึงไม่แยกบ้านออกไปอยู่เป็นครอบครัวของตัวเอง
คำถามนี้พี่ปลาหมึกเอ่ยปากตอบทันทีว่า เป็นเพราะเคยคุยกันไว้ตั้งแต่เด็กว่าถ้าโตขึ้นครอบครัวทุกคนจะอยู่ด้วยกัน มีบ้านอยู่ในพื้นที่เดียวกันหมด เพราะว่า พ่อแม่ รวมถึงท่านตา (พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ ) และคุณยาย (ท่านผู้หญิงหม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา) ของเรา อยากให้เป็นแบบนั้นด้วย โดนปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทั้งซอยนี้ก็มีครอบครัวยุคลอยู่หมดเลย ลูกหลานแต่งงานไปก็ไม่ไปไหนอยู่ที่นี่หมด
“ข้อดีของการอยู่ในครอบครัวใหญ่คือความอบอุ่น เราอยากไปหาญาติพี่น้องคนไหน ก็เดินไปหาได้เลย อีกอย่างเราก็ไม่ได้อยู่แบบอัดกันในบ้านหลังเดียว เราแยกครอบครัวเป็นหลังๆ ไป แต่ละคนจะมีพื้นที่เป็นของตัวเองแต่จะอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน”
- แสดงว่านอกจากพ่อแม่ พี่น้อง ยังมีบ้านญาติๆ อยู่ในพื้นที่เดียวกัน
“ใช่ค่ะ เวลาย้ายเราก็ย้ายมากันหมด ทั้งตระกูลยุคล รวมถึงกิจการโรงเรียนอนุบาลยุคลธรด้วย (หัวเราะ) เพราะท่านตาเคยรับสั่งว่าถ้าฉันจะย้ายบ้านแล้วลูกหลานไม่ยอมย้ายตามมา ฉันตายดีกว่า ท่านจะติดลูกหลานมากๆ ดูแลเราตั้งแต่เด็กจนเราก็ติดท่านมากเช่นกัน ดูแลท่านจนถึงวันสุดท้ายเลย แต่ถึงแม่จะไม่มีท่านตาเราก็ยังทานข้าวด้วยกันทุกเสาร์อาทิตย์ ไปต่างจังหวัดด้วยกัน ถ้าจะทำอะไรก็ทำพร้อมกันเสมอ จนมีคนบอกว่าเราเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นจนร้อน เพราะทำอะไรทีก็ไปกันเยอะๆ เบียดกันทุกงาน (หัวเราะ) รวมทั้งตระกูลก็ 50 กว่าคนได้” น้องมะปรางกล่าว
- บทบาทของแต่ละคนใน "บ้านลูกปัด"
คำถามนี้บ่งบอกถึงสีสันในบ้านได้เป็นอย่างดี โดยน้องเล็กอย่างคุณมะปรางได้ขอยกมือตอบเป็นคนแรกว่า “ปรางคือผู้จัดการภายในบ้านค่ะ (หัวเราะ) ทำทุกอย่าง ดูแลจัดการนัดแนะคนในบ้าน เวลามีกิจกรรมอะไรปรางก็เป็นคนดูแลหมด เหมือนเป็นเลขาส่วนตัวของทุกคน ใครอยากไปไหนทำอะไรต้องมาบอกปรางเพราะเราจะมีเบอร์ติดต่อได้ทุกที่แม้แต่ร้านส้มตำ (หัวเราะ)”
ตามมาด้วยพี่คนโต ที่ใช้อารมณ์ขันมัดใจหลานๆ จนอยู่หมัด “ในบ้านผมจะหนักไปในทางหลานๆ มากกว่า เพราะเป็นคนตลกเลยเข้ากับเด็กๆ ง่าย พอว่างก็จะพาจาร์ไปเที่ยวตกปลา ออกทะเล เล่นเจ็ตสกีตามสไตล์ผู้ชาย ส่วนกอบัวจะชอบซื้อสติกเกอร์มาก แน่นอนรถผมก็จะเต็มไปด้วยสติกเกอร์ของกอบัว (หัวเราะ) ผมเลยพูดหลอกให้แอบเอาไปแปะที่ห้องนอนพ่อบ้าง ไม่รู้เอาไปแปะรึยัง...” (ลุงปูม้าแอบส่งซิกไปที่น้องกอบัวที่หันมาสนใจวงสนทนาทันทีที่พูดถึงเรื่องสติกเกอร์)
สำหรับพี่ชายคนกลางอย่างคุณปลาหมึก ก็ได้รับบทบาทของความเป็นกลางในบ้านไปตามสถานะ เพราะทั้งพี่ปูม้าและน้องปรางขอมอบตำแหน่งที่ปรึกษาดีเด่นให้ ไม่ว่าเรื่องอะไร เล็กใหญ่แค่ไหน คุณหมึกก็มีเวลารับฟังและให้คำแนะนำที่ดีได้เสมอ
- แล้วความรู้สึกของสะใภ้อย่างคุณเอล่ะ พอมาอยู่ในครอบครัวใหญ่แบบนี้มุมมองของตัวเองเปลี่ยนไปไหม
งานนี้คุณเอขอตอบแบบไม่ลังเลใจว่า “ที่นี่เป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่รักกันมาก พอเรามาอยู่เราก็รับรู้ความรู้สึกนั้นไปด้วย โชคดีมากที่ได้มาอยู่ในครอบครัวนี้ ตัวเอเองมีน้องสาว 2 คน ถ้าเขาแต่งงานไปเราก็อยากให้เขาอยู่กับพ่อแม่แบบนี้เหมือนกัน การอยู่รวมกันแบบนี้เราก็มีโอกาสได้ดูพ่อแม่ เขาก็จะไม่เหงาถ้าเรามีหลานเขาก็ยังช่วยดูแลได้อีก”
พอฟังจบคุณปลาหมึกในฐานะสามี ดูเหมือนจะเล็งเห็นปัญหาของสะใภ้ที่ต้องอยู่ห่างพ่อแม่ของตัวเอง เลยเสริมต่อว่า “ผมมองว่าสะใภ้คือคนที่ต้องเสียสละเยอะเหมือนกันนะ จากเดิมที่เขาอยู่กับพ่อแม่ตัวเอง พอแต่งงานก็ต้องย้ายมาอยู่กับเรา มาดูแลพ่อแม่เราแทน มันก็เป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน เอเขาก็กลัวว่าพ่อแม่จะเหงา ทุกอาทิตย์เราก็ต้องพากอบัวไปเยี่ยมพวกท่าน วันธรรมดาเอก็ต้องโทรหาแม่เขาทุกวัน วันละหลายเวลาเลยแหละ (หัวเราะ) ผมว่าทำแบบนี้มันไม่ได้หมายความว่าเป็นลูกแหง่นะ แต่เป็นเรื่องดีซะมากกว่า ถึงแม้จะไม่เจอกันทุกวันแต่ได้คุยกันทางโทรศัพท์บ้างก็ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ลดลงไป” คุณหมึก กล่าว
- สำหรับคุณมะปรางความที่เป็นน้องเล็กในบ้าน และก็เป็นซิงเกิลมัมเลี้ยงน้องจาร์มาด้วยตัวเอง รู้สึกอย่างไรกับ 2 บทบาทนี้
“ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ ปรางเลี้ยงลูกมาคนเดียวแบบไม่ลำบากเลย เป็นโชคดีที่บ้านเราอยู่กันเยอะแบบนี้ด้วยแหละ พ่อแม่จะช่วยเลี้ยงจาร์มาตั้งแต่เด็ก ส่วนปรางทำงานเยอะก็จริงแต่ก็จะแบ่งเวลาให้เขาเยอะหน่อย ต้องไปส่งที่โรงเรียนตอนเช้าทุกวัน ถ้าเราไม่ว่างจริงๆ พี่ปู พี่หมึก ก็ช่วยกันดูอยู่แล้วเป็นเหมือนพ่อและต้นแบบของผู้ชายให้น้องจาร์เลย และเขาก็ยังมองว่าปรางเป็นน้องเล็กต้องคอยห่วงคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะเอที่เรียกได้ว่าทำแทนได้ทุกอย่างเปรียบเสมือนแม่ของน้องจาร์อีกคนเหมือนกัน เวลาจาร์ไม่เข้าใจการบ้านเขาก็วิ่งมาให้เอเขาสอนให้เสมอ เพราะปรางกลับบ้าน 4 ทุ่มทุกวัน แม้ไม่มีเวลาแต่ก็วางใจที่เขายังมีคนดูแลค่ะ"
- ครอบครัวใหญ่ สอนลูกกันอย่างไร
เมื่อมีคนเยอะ ก็ต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อสืบทอดประเพณีอันดีงามเอาไว้ โดยในบ้านเสนาณรงค์หลังนี้ก็มีเช่นกัน ตามที่คุณพ่อปลาหมึกได้สอนน้องกอบัวและหลานจาร์ว่า
“ผมจะสอนให้เขาเป็นคนกตัญญู พาไปหาปู่ย่าตายายบ่อยๆ ให้เขาเคารพรักและเชื่อฟังคำสั่งสอนพวกท่าน เด็กๆ จะเคยชินและไม่เคยถามหรือรำคาญเลยว่าทำไมบ้านเรามีคนเยอะแยะ เพราะเขาเกิดมาเป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เด็ก มันกลายเป็นธรรมชาติของเขาไปแล้ว พอถึงตอนเย็น กอบัวจะรู้ทันทีว่าต้องไปหาคุณปู่กับท่านย่า ถ้าวันไหนไม่ได้พาไปเขาก็จะถามแล้วว่าทำไมไม่ได้ไป แม้แต่เวลาติดงานมากๆ เราก็ให้พี่เลี้ยงพาไปแทน คือยังไงก็ต้องไปหาเป็นประจำ”
ในส่วนของน้องจาร์ที่เป็นเด็กผู้ชาย คุณแม่มะปรางก็พาไปอยู่กับคุณตากับท่านยายตั้งแต่เด็กเพื่อให้ซึมซับการปฏิบัติตน และความคิดที่ดีของคนรุ่นก่อน ในอนาคตจะได้กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีตามที่ได้เรียนรู้มา
“ด้วยความที่เขาอยู่กับผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก เวลายายไม่สบายเขาก็สามารถดูแลเช็ดตัว พยุงเข้าห้องน้ำ ทำได้ทุกอย่าง จนทุกวันนี้ก็ยังนอนกับตา ยายแล้วก็ปรางด้วย นอนกัน 4 คนทุกคืน ตั้งแต่ 5 ขวบ ส่วนห้องนอนของตัวเองจริงๆ ก็เอาไว้เก็บของใช้ส่วนตัวไปแทน (หัวเราะ)
พอได้ยินดังนั้นเลยหันไปถามน้องจาร์ให้รู้เรื่องว่าเป็นเพราะกลัวผี หรือรักท่านตากับท่านยายมากกันแน่ ที่ทำให้ไม่แยกห้องนอนเจ้าตัวก็รีบตอบทันทีว่า "เพราะรักปานกลาง...?" หลังจากได้คำตอบแบบอายๆ คุณแม่ปรางก็อมยิ้มแล้วแก้ให้ว่า "ปานกลางของจาร์เท่ากับมากค่ะ"
จากนั้นคุณแม่ปรางก็เล่าต่อว่า “จะบอกเขาเสมอว่าเรามีกันแค่นี้ ถ้าโตขึ้นมาลุงปูไม่ยอมแต่งงานจาร์ก็ต้องมาดูแลลุงนะ รวมถึงแม่ด้วย (หัวเราะ) เวลาไปไหน ก็ช่วยเอาแม่ไปด้วย ถึงแต่งงานแล้วก็ช่วยพาแม่ไปอยู่ห้องข้างๆ ก็ยังดี อย่าเอาแม่ไปทิ้งที่บ้านบางแคนะ ที่จริงมีคนมาฝากฝังชีวิตกับเขาเยอะมาก เพราะยังมีน้าอีก 2 คนที่ยังไม่แต่งงาน เลยต้องฝากบอกเขาตั้งแต่เด็กเนี่ยแหละว่าถ้ามีใครตายช่วยเอากระดูกไปใส่ไว้ให้ถูกด้วย จดจำไว้ให้ดีว่าใครต้องอยู่ช่องไหน (หัวเราะ) เพราะว่าน้าๆ จะต้องไปอยู่กับทางยุคล ส่วนเราต้องไปอยู่กับเสนาณรงค์ เลยต้องสั่งเสียไว้ให้ถูกต้อง ไว้กอบัวโตกว่านี้ก็ต้องมาช่วยกันจำด้วยเหมือนกัน (หัวเราะ) แม่ลูกพูดกันแบบนี้จริงๆ ปรางกับจาร์จะคุยเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่า เพราะเราอยากคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง ไม่อยากให้เขาโกหกเรา"
พอแม่ปรางพูดจบ น้องจาร์ก็แอบส่งยิ้ม (ที่หาดูยาก) ให้คุณแม่เป็นสัญญาณที่บอกว่า …เข้าใจดีครับ
ทั้งหมดนี้ล่ะค่ะ คือ ความรัก ความผูกพันที่บ้านเสนาณรงค์มีให้กันและกัน