ข่าว

"ตึกหลบภัย"สึนามิลดแรงปะทะ...คลื่นความเร็วสูง

"ตึกหลบภัย"สึนามิลดแรงปะทะ...คลื่นความเร็วสูง

30 มี.ค. 2554

"สึนามิซัดถล่มญี่ปุ่นคราวนี้ เร็วประมาณ 800-1000 กม.ต่อชม. เปรียบได้กับความเร็วของเครื่องบินโบอิ้งที่บินอยู่บนท้องฟ้า 700 กม.ต่อชม. หรือถ้าจินตนาการถึงรถแข่งในสนามที่วิ่งเร็วสุด 200 กม.ต่อชม. คลื่นยักษ์นี้มาเร็วกว่าและแรงกว่ารถแข่ง 5 เท่า

ข้อมูลแรกบอกว่าคลื่นสูง 10 เมตร ต่อมาเพิ่มเป็น 14 เมตร แต่หลังสุดวิเคราะห์กันว่าอาจสูงถึง 24 เมตร หรือเท่ากับตึก 7 ชั้น นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นได้รับความเสียหายมากขนาดนี้ ส่วนสึนามิที่เกิดในพังงาเมื่อปี 2547 นั้น ความเร็วประมาณ 700 กม.ต่อชม. สึนามิสูงไม่เกิน 10 เมตร หรือประมาณตึก 2-3 ชั้น" รศ.ดร.อมร พิมานมาศ ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมแผ่นดินไหว สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ม.ธรรมศาสตร์ เปรียบเทียบการเกิดสึนามิครั้งใหญ่

 รศ.ดร.อมร วิเคราะห์ต่อว่า การเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์ทำให้หลายประเทศเรียนรู้ว่า แม้กระทั่งญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงในการสร้างตึกรามบ้านช่อง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะภัยธรรมชาติได้ คนทั่วโลกต่างตกตะลึงที่เห็นภาพบ้านเรือนหลายพันหลังถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดลอยไปกับกระแสน้ำ ในวันนั้นมีเสียงเตือนภัยดังขึ้นทั่วทุกพื้นที่ แต่เวลาที่จะวิ่งหนีมีน้อยนิด เพราะหลังจากออดเตือนภัยดังได้เพียง 10 นาที สึนามิระลอกแรกก็พุ่งถึงชายฝั่งทันที ทำให้คนแก่และเด็กที่วิ่งหนีไปยังอาคารหลบภัยไม่ทันเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

 หากเกิดสึนามิความรุนแรงระดับเดียวกัน ดร.อมร มองว่า หมู่บ้านชาวประมงริมฝั่งทะเลอันดามันของไทย มักจะปลูกสร้างด้วยไม้แบบง่ายๆ เช่นกับหมู่บ้านตามชายฝั่งทะเลของญี่ปุ่น ยิ่งน่าเป็นห่วงเพราะอยู่ใกล้กับรอยเลื่อนที่ยังมีพลังใต้มหาสมุทรอินเดีย เป็นแนววงแหวนไฟพาดผ่านทางด้านทิศตะวันตกของเกาะสุมาตรา หากจำกันได้ รอยเลื่อนที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.3 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 นั่นเอง คราวนั้นจุดกำเนิดแผ่นดินไหวอยู่ห่างฝั่งทะเลอันดามันของไทยไปเพียง 500-1,000 กิโลเมตรเท่านั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายในไทยมากถึง 8,300 คน

 "มนุษย์ไม่อาจห้ามแผ่นดินไหวหรือภัยสึนามิได้ สิ่งที่พวกเราควรทำคือหาสถานหลบภัยที่มั่นคงแข็งแรง ตอนนี้ผมเป็นห่วงอยู่ 2 กลุ่มคือ กลุ่มพี่น้องชาวประมงที่อาศัยอยู่ริมทะเล เฉพาะที่พังงามีไม่ต่ำกว่า 2,000 คน และอีกกลุ่มหนึ่งคือ พวกที่ก่อสร้างรีสอร์ทหรูๆ ติดชายหาด ตามหลักวิชาการแล้วสิ่งก่อสร้างต้องอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลไปไม่น้อยกว่า 3-4 กม. แต่ไม่มีใครห้ามได้ ดังนั้นต้องใช้วิธีขอความร่วมมือให้สร้างอาคารหลบภัยสึนามิทั้งแบบถาวรและแบบชั่วคราว" ดร.อมร แนะนำ

 หลังเกิดสึนามิปี 2547 ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมก่อสร้างอาคารต้านแผ่นดินไหวได้รับการติดต่อจากกรมโยธาธิการให้ศึกษารูปแบบอาคารหลบภัยสึนามิ โดยทีมงานจัดทำเสร็จสิ้นในปี 2551 ด้วยการเสนอว่าทางเลือกที่เหมาะสมของการก่อสร้างอาคารหลบภัยแบบชั่วคราว คือ สร้างเป็นตึกปูนสูง 1-2  ชั้น มีพื้นเวทียกสูงตั้งอยู่บนเสาเหล็กหรือเสาปูน เปิดโล่งทางด้านล่างให้น้ำไหลผ่านไปได้สะดวก พื้นเวทีต้องยกสูงจากพื้นดินไม่น้อยกว่า 6-10 เมตร ป้องกันไม่ให้คลื่นวิ่งขึ้นมาถึง ราคาค่าก่อสร้างไม่เกิน 7-8 แสนบาท รองรับได้ 200-300 คน รูปแบบนี้เหมาะสำหรับรีสอร์ทติดชายทะเล โดยเฉพาะตามแนวชายหาดเขาหลัก หาดคึกคัก จ.พังงา เมื่อสึนามิพัดมา แขกและเจ้าหน้าที่สามารถวิ่งมาหลบภัยได้  

 ส่วนชุมชนชาวประมง เช่น บ้านทับละมุ และ บ้านน้ำเค็ม จ.พังงา นั้น ปัจจุบันทีมวิศวกรที่เชี่ยวชาญส่งมอบแบบก่อสร้างอาคารหลบภัยถาวรให้กรมโยธาธิการ เรียบร้อยแล้ว เป็นอาคารหลบภัยสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 5 ชั้น รองรับผู้อพยพ 1,500-2,000 คน สามารถต้านคลื่นสึนามิสูงขนาด 6 เมตรได้ พื้นชั้นล่างสูง 4.5 เมตรเปิดใต้ถุนโล่งเพื่อให้น้ำไหลผ่านสะดวก พื้นที่หลบภัยชั้น 3-5 อยู่สูงจากพื้นดิน 8 เมตรขึ้นไปจึงไม่โดนน้ำท่วม สำหรับบันไดทางขึ้นกว้าง 2.8 เมตร และฐานรากอาคารเป็นเสาเข็มฝังลึกลงในชั้นดินช่วยยึดตัวอาคารไม่ไหลไปตามกระแสน้ำ พร้อมทั้งป้องกันแรงกระแทกจากเรือประมงที่วิ่งเข้ามาชนด้วย

 "พวกเราช่วยกันออกแบบอย่างดี มอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะเงียบไป อยากเตือนว่าสึนามิเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ควรรีบสร้างให้เสร็จ แม้วันนี้จะมีอาคารหลบภัยของชาวบ้าน แต่มันยังไม่ได้มาตรฐาน เป็นแค่ตึกสูง 2-3 ชั้นไม่แข็งแรง ถ้าคลื่นยักษ์สึนามิลูกใหญ่พุ่งเข้ามา คงไม่สามารถช่วยอะไรได้ ที่สำคัญต้องเตรียมพื้นที่ก่อสร้างให้อยู่ห่างจากชายฝั่งในระยะที่ชาวบ้านวิ่งไปถึงไม่เกิน 30 นาที หลังได้ยินเสียงไซเรนเตือนภัยดังขึ้น งบประมาณก่อสร้างประเมินไว้ที่ 20 ล้านบาท ควรสร้างที่ทับละมุ 1 หลัง และบ้านน้ำเค็ม 1 หลัง ส่วนที่ภูเก็ตไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสามารถใช้อาคารโรงแรมที่เป็นตึกสูงหลายชั้นหลบภัยแทนได้ รัฐบาลควรศึกษาบทเรียนจากญี่ปุ่นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป" ดร.อมร กล่าวเตือน
 ดร.พิจิตต รัตตกุล ผอ.ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) กล่าวเตือนว่า บทเรียนของญี่ปุ่น ทำให้ประเทศอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิกต้องคิดหนัก เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สร้างระบบเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นยักษ์สึนามิอย่างดี แต่ยังเสียหายมากขนาดนี้ ดังนั้นไทยควรปรับปรุงวิธีรับมือภัยสึนามิให้มากกว่านี้ เริ่มจาก 1.ระบบเตือนภัย ต้องทบทวนใหม่หมด โดยเน้นให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายขึ้น ดังกรณีพายุนาร์กีสในพม่า ไทยส่งข้อมูลเตือนภัยให้รัฐบาลพม่ารู้ล่วงหน้าแล้ว 5-6 วัน แต่ชาวบ้านไม่รับรู้ข้อมูลเหล่านี้

 2.ระบบผังเมือง ต้องเตรียมพร้อมทั้งถนน โรงพยาบาล โรงเรียน และชุมชนให้สามารถวิ่งหนีเข้าไปในอาคารหลบภัยได้อย่างสะดวก 3.อาคารการก่อสร้าง ต้องมีคุณภาพ แม้แต่คนปลูกบ้านติดชายทะเลก็ต้องปลูกตามมาตรฐานป้องกันสึนามิ 4.ความพร้อมของชุมชน สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างน้อย 24 ชม.หลังเกิดเหตุภัยพิบัติ เพราะความช่วยเหลือจากส่วนกลางจะยังเข้าไปไม่ถึง

 สำหรับอาคารหลบภัยสึนามิที่สร้างเสร็จแล้วมีอยู่ 2 แห่ง ความสูง 3 ชั้น ตั้งอยู่บริเวณบ้านบางเนียง และชุมชนบ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อรองรับชาวบ้านกรณีเกิดสึนามิสามารถรองรับชาวบ้านได้ประมาณ 1,000 คน งบประมาณก่อสร้างส่วนใหญ่มาจากเงินบริจาคของประชาชนและมูลนิธิต่างๆ ส่วนที่ภูเก็ตและจังหวัดติดชายฝั่งอันดามันที่ยังไม่มีการก่อสร้างอาคารหลบภัยนั้น ทางหน่วยราชการได้ประสานขอให้ใช้โรงเรียนหรือโรงแรม ที่มีตึกอาคารคอนกรีตหลายชั้นให้เป็นแหล่งหลบภัยสึนามิแบบชั่วคราวแทน