
อำนาจกับความปลอดภัยในการใช้รถ
"ทำไมเมืองนี้ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์" ดิฉันตั้งข้อสงสัยภายหลังจากพยายามมองหาผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ด้วยความที่คลุกคลีอยู่ในวงการการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่เสี่ยงของคนกลุ่มต่างๆ
ในประเทศไทยโดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยรุ่น รวมถึงคลุกคลีอยู่ในวงการของผู้มีอำนาจทั้งหลายที่ พยายามจะแย่งชิงพื้นที่การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ในกลุ่มวัยรุ่น ด้วยความมุ่งหวังให้เหล่าบรรดาวัยโจ๋ วัยจ๊าบ วัยฉะกัน(ฉกรรจ์)ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์โดยไม่ใช้ความเร็วสูง ขับรถไม่หวาดเสียว ขับรถที่ไม่ตกแต่งดัดแปลงเช่น ดัดแปลงท่อไอเสียจนกระทั่งมีเสียงดังจนผู้ใช้รถใช้ถนนแสบแก้วหู หรือเกิดอาการหมั่นเขี้ยวจนแช่งชักหักกระดูกผู้ขับขี่ หรือตามกระแสความนิยมในตอนนี้ของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายคือ การส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์และผู้ซ้อนท้ายสวมใส่หมวกกันน็อก 100%
แต่จนแล้วจนรอดดูเหมือนว่ามาตรการต่างๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายพยายามที่จะผลักดันกลับบรรลุผลสำเร็จน้อยกว่าแรงและทุนที่ได้ลงไป นักวิชาการหลายท่านแอบอิจฉาประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศเวียดนาม เมื่อยามที่ไปศึกษาดูงานและพบว่าประเทศเวียดนามนั้นประชาชนขับขี่รถมอเตอร์ไซค์กันเป็นจำนวนมาก เสียงบีบแตรดังทั่วท้องถนนจนไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่ารถคันใดเป็นผู้บีบแตร แต่ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายทุกคนสวมใส่หมวกกันน็อก
จนกระทั่งมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มเสนอว่า “ต้องนำเสนอเวียดนามโมเดล” เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องศึกษาและนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสวมหมวกกันน็อกของผู้ขับขี่ในบ้านเรา “บริบททางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองของไทยกับเวียดนามเหมือนกันหรือไม่?” คือคำถามท้าทายจากมุมมองของนักวิชาการสายสังคมศาสตร์ที่มุ่งให้ความสำคัญกับบริบททางสังคมวัฒนธรรมและการเมืองที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นอยู่กับพฤติกรรมต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือพฤติกรรมการสวมหมวกกันน็อก
น่าแปลกตรงที่ดิฉันไม่เคยได้ยินนักวิชาการท่านใดยกตัวอย่างพฤติกรรมการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือการสวมหมวกกันน็อกของชาวพม่า ? พม่ากับเวียดนามและไทยแตกต่างกันอย่างไร?
ดิฉันพยายามเดินถามผู้คนที่เดินอยู่ริมถนนเพื่อสอบถามว่า “ทำไมที่เมืองย่างกุ้งแห่งนี้ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์” แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของดิฉัน ในที่สุดดิฉันพบแม่ค้าขายโปสการ์ดคนหนึ่งเธอยอมตอบคำถามของดิฉันหากแต่คำตอบของเธอกลับทำให้ดิฉันอยากรู้มากขึ้น เธอบอกว่า “ที่นี่มีแต่ตำรวจที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้ ถ้าอยากดูรถมอเตอร์ไซค์ต้องไปที่หงสาวดี” ไม่มีการขยายความหรือตอบคำถามใดๆ ว่า “ทำไมที่ย่างกุ้งจึงไม่มีใครขี่รถมอเตอร์ไซค์”
ในที่สุดความพยายามของดิฉันบรรลุผลภายหลังจากพยายามหาคำตอบอยู่นานกว่า 3 วัน...เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาก็มีการอนุญาตให้ประชาชนขี่รถมอเตอร์ไซค์ในย่างกุ้ง แต่ปรากฏว่า ลูกของคนใหญ่คนโตมาจับกลุ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์เที่ยวร่อนกันทั่วเมือง สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วไป ตำรวจก็ไม่กล้าจับเพราะว่าพ่อของพวกเขาเป็นคนใหญ่คนโต
แต่มาวันหนึ่งวัยรุ่นกลุ่มนี้ขับขี่รถด้วยลีลาหวาดเสียวและปาดหน้าขบวนรถวีไอพี บังเอิญขบวนรถวีไอพีนี้เป็นกลุ่มคนที่ใหญ่กว่าพ่อของเด็กกลุ่มนี้ และในที่สุดก็มี คำสั่งออกมาจากผู้มีอำนาจเพียงครั้งเดียว ว่า “ห้ามขี่รถมอเตอร์ไซค์ในเมืองย่างกุ้ง” นับแต่นั้นมา...ไม่มีผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ในเมืองย่างกุ้ง ไม่มีผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่หวาดเสียว ไม่มีผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่สวมหมวกกันน็อก และไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ในกลุ่มผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์...
แต่ประชาชนคนยากจนยังต้องใช้วิธีการเดินในระยะทางไกลหากไม่มีเงินพอที่จะโดยสารรถสาธารณะ การโดยสารรถสาธารณะที่ไม่มีคุณภาพและมีราคาแพง โดยที่ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพัฒนาเพื่อสร้างความสะดวกเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชน...เรื่องราวเหล่านี้บอกอะไรแก่นักวิชาการและนักปกครองในสังคมไทย...การใช้อำนาจที่เข้มแข็งเป็นสิ่งที่เหมาะสมและควรนำมาใช้เป็นโมเดลหรือไม่?