ข่าว

โลกแตก

โลกแตก

30 มี.ค. 2554

สิ่งหนึ่งซึ่งมนุษย์เรามีความกังวลเป็นอย่างมาก ก็คือวาระสุดท้ายของโลก หรือที่เรียกกันว่า "โลกแตก” ซึ่งตามคติโบราณเชื่อกันว่าสิ่งที่จะทำให้โลกถึงกาลอวสานมีอยู่ 2 อย่าง คือน้ำท่วมโลก หรือไม่ก็เกิดไฟประลัยกัลป์ล้างโลก

น้ำท่วมโลกนั้นมีปรากฏในเรื่องของโนอา ที่พระเจ้าแนะนำให้ต่อเรือเพื่อเอาชีวิตรอด ก่อนที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่เพื่อกวาดล้างความชั่วร้ายต่างๆ ในโลก และในเรื่องนารายณ์สิบปาง ก็มีอยู่ปางหนึ่งซึ่งพระนารายณ์อวตารเป็นเต่าเพื่อช่วยโลกจากน้ำท่วม ส่วนเรื่องไฟประลัยกัลป์นั้น ก็มีการกล่าวไว้ในคัมภีร์ของหลายๆ ศาสนา

 สรุปว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ทำสิ่งที่ชั่วร้ายกันมากขึ้น ก็จะเกิดไฟใหญ่มาเผาผลาญโลก

 ปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติในช่วงที่ผ่านมานี้และการจลาจลวุ่นวายทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศแถบแอฟริกาเหนือ อาหรับ และตะวันออกกลางเวลานี้ ทำให้มนุษย์เริ่มเกิดความกังวลเรื่องโลกแตกกันมากขึ้น และความกังวลนั้นก็เชื่อมโยงไปถึงศาสดาพยากรณ์และคำทำนายแต่โบราณกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการสิ้นสุดปีปฏิทินของชนเผ่ามายา ในเดือนธันวาคม ค.ศ.2012 ที่คาดกันว่าน่าจะหมายถึงวันสิ้นสุดของโลกใบนี้เช่นกัน
 
 หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว โลกของเราได้รับความบอบช้ำจากการกระทำของมนุษย์เป็นอย่างมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา การแข่งขันด้านอาวุธ การพัฒนาอุตสาหกรรม การขยายพื้นที่เกษตรกรรม การใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติอย่างมโหฬาร ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับใต้ดิน พื้นผิวโลก ไปจนถึงชั้นบรรยากาศ ซึ่งนอกจะทำลายห่วงโซ่ของสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์บนโลกแล้ว ก็ยังส่งผลกระทบต่อภูมิประเทศ และภูมิอากาศ จนเกิดมหันตภัยอย่างรูรั่วของชั้นบรรยากาศ การละลายของภูเขาน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร ซึ่งอาจรวมถึงการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก และการปะทุของความร้อนใต้พิภพ

 หากมองย้อนกลับไปในอดีตกาล เราจะพบว่ามนุษย์กับธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยและเกื้อกูลกัน และมนุษย์ก็ให้ความเคารพธรรมชาติหรือกฎของธรรมชาติ ดังเช่นที่คนสมัยก่อนบูชาพระอาทิตย์ บูชาไฟ บูชาฝนฟ้าอากาศ หรือคนรุ่นปู่ย่าตายายของเรา เรียกแม่น้ำว่าแม่พระคงคา เรียกแผ่นดินว่าแม่พระธรณี เรียกต้นข้าวว่าแม่พระโพสพ เป็นต้น และปฏิบัติต่อบรรดาแม่ต่างๆ ด้วยความนอบน้อม รำลึกถึงพระคุณ

 ซึ่งต่างกับคนในยุคปัจจุบันที่ถือว่าตนสามารถจะบังคับดิน น้ำ ลม ไฟ พืชพันธุ์ธัญญาหารและสรรพสัตว์ ให้เป็นไปตามที่ตนต้องการได้ โดยหารู้ไม่ว่าการที่มนุษย์หลงคิดว่าตนเองเก่งกว่า ฉลาดกว่าธรรมชาตินั้น คือจุดเริ่มต้นของการทำลายโลก และทำลายตัวของตัวเอง

 ภาวะน้ำท่วมโลกนั้น ปัจจุบันสามารถตั้งสมมติฐานได้แล้วว่า อาจจะเกิดจากภาวะโลกร้อนส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายลงสู่มหาสมุทร ซึ่งเมื่อปริมาณน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นก็จะล้นขึ้นท่วมเกาะต่าง ๆ และพื้นที่ชายทวีป ทำให้บริเวณที่เคยเป็นพื้นดินแทบทั้งหมดจมลงสู่ใต้น้ำ

 แต่สำหรับไฟประลัยกัลป์นั้น มีแนวคิดหลักอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือเกิดจากอุบัติการณ์ทางธรรมชาติ เช่นมีอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก หรือโลกโคจรเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น จนความร้อนของดวงอาทิตย์แผดเผาโลก สำหรับประการหลัง เป็นภัยที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ที่มนุษย์ใช้ในการทำสงครามต่อกัน

 ถ้าถามว่าสงครามที่ว่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? ถ้าเรามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแอฟริกาเหนือ กลุ่มประเทศอาหรับ และตะวันออกกลาง ก็อาจจะพอมองเห็นเค้าลางว่า สงครามนิวเคลียร์นั้นสามารถที่จะเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้อย่างง่ายดาย หากความขัดแย้ง การจลาจลวุ่นวาย ยังไม่ได้รับการคลี่คลายลงโดยเร็ว และการแทรกแซงจากภายนอกขยายตัวไปสู่การรบพุ่งที่กินวงกว้างออกไป ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า มีประเทศในภูมิภาคนี้และบริเวณใกล้เคียงอย่างน้อย 4-5 ประเทศ ที่มีหรือคาดว่าน่าจะมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ อิสราเอล และอิหร่าน

 ครับ แค่คิดก็หนาว และมองเห็นภาพโลกแตกอยู่รำไรแล้วล่ะครับ