ข่าว

ปริญญาเอกใช่สูตรสำเร็จของดร.สมศักดิ์ ชลาชล

ปริญญาเอกใช่สูตรสำเร็จของดร.สมศักดิ์ ชลาชล

26 มี.ค. 2554

ไม่บ่อยนักที่มือกรรไกรระดับดอกเตอร์ (หมาดๆ) คนแรกของไทย "แดง" ดร.สมศักดิ์ ชลาชล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชลาชล จำกัด จะเปิดบ้านอันแสนสงบและร่มรื่นย่านเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ให้สื่อได้เข้าไปนั่งจับเข่าคุยแบบใกล้ๆ

 แต่เมื่อเจ้าตัวเพิ่งคว้าปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งนับเป็นปริญญาใบที่สามในชีวิตของเขา นี่แหละที่ทำให้ "คม ชัด ลึก" อดไม่ได้ที่จะต้องขอเกี่ยวแขนมาร่วมวงสนทนากันถึงความเป็นมาเป็นไป เหตุผลอันใดที่พาให้ช่างตัดผมมากฝีมือคนนี้ ต้องหันกลับเข้าห้องเรียนอีกครั้ง...

เรียนจนได้ปริญญาเอกแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นคนที่ชอบเรียนมาก
 จริงๆ แล้วเป็นคนไม่เอาถ่านเลยเรื่องเรียน เด็กๆ เป็นเด็กเอาแต่ใจมาก เพราะเป็นลูกคนเล็กเกิดในครอบครัวที่รวย ไม่ค่อยเรียนหรอก เป็นคนชอบวาไรตี้เรียกว่าสังคมจัดมาก ทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งฉีดผงฉีดยาเข้าเส้นก็เคยมาแล้ว อะไรที่เขาว่าไม่ดีน่ะผ่านมาหมดแล้ว พอมาถึงตอนนี้สิ่งเหล่านั้นทำให้เรารู้ว่า ถ้าเราไม่มีอะไรแบบนั้นเราจะถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นได้ยังไง คนที่เขาจะประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็ต้องผ่านเรื่องเหล่านี้มาแล้วทั้งนั้นถึงจะมาเป็นครูได้

จุดไหนถึงทำให้ต้องกลับตัว
 วัคซีนของครอบครัวไง คุณย่ามรณภาพคามือเราเลยตอนที่ท่านบวชเป็นชี ครอบครัวเลยสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นที่ อ.แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา เราก็เห็นและวิ่งเล่นอยู่ในวัดมาตลอด จนกลายเป็นวัคซีนที่ฝังอยู่ในตัวเรา โตขึ้นเราก็โอเวอร์ก็แรดของเราไป แต่พอแก่ตัววัคซีนเหล่านี้แหละที่เราจะเอามาใช้กับหลานริชชี่ (ริชชี่ ชลาชล) บ้านนี้จะพาริชชี่ไปวัดประจำ ชั้นสองตรงกลางจะมีห้องพระให้เขาไว้ไหว้พระสวดมนต์ นี่แหละที่เป็นวัคซีนของครอบครัว ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกอิ่มแล้วพอแล้ว และทำให้เรามีความสุขกับการให้แทน 

ทุกวันนี้ใช้ศาสนาเป็นตัวนำในการดำเนินชีวิต
 ใช่เลย เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่ให้เราพัฒนาตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนให้ดูแลตัวเอง ลด ละ เลิก ด้วยตัวเอง อันนี้แหละยากที่สุด การที่บอกว่าเชื่อแต่จริงๆ แล้วเหมือนเราหลงอะไรสักอย่างหนึ่งมากกว่า คือ ด้วยความที่เราเรียนพัฒนามนุษย์ ถ้าไม่เอาหลักศาสนาพุทธมากระทบจะไม่สามารถพัฒนาได้เลย การพัฒนามนุษย์ต้องพัฒนามาจากตัวเองแล้วค่อยไปพัฒนาคนอื่น ตัวเองต้องเป็นไอดอลก่อนโดยเฉพาะการเป็นไอดอลให้กับหลาน พอเป็นไอดอลแล้วเราไม่สามารถทำชั่วได้ คิดชั่วยังไม่ได้เลยในเมื่อทุกคนรู้จักเราแล้ว

ก่อนจะทำอะไรต้องนึกถึงธรรมะไว้ก่อนเสมอ
 วินัยของศาสนาพุทธคือศีล 5 ข้อ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามพูดปด ห้ามดื่มสุรา ถ้าทำได้หมดก็จะขยับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ศีล 5 ข้อรู้ไหมว่าศีลข้อไหนทำยากที่สุดในสังคม ห้ามพูดปดไงเราอยู่ในสังคมที่เขาเรียกว่าไฮโซ แค่พูดเสียดสีกันนิดเดียวก็เป็นเรื่องแล้ว อย่างตัวเองถ้าไม่ชอบจะบอกเลยว่าไม่ชอบ ให้ไปพูดว่าชอบไม่ได้นะ หรืองานไหนถ้าไม่อยากไปก็ไม่ไปขี้เกียจไปใส่หน้ากากเข้าหากัน
 
มองสังคมไฮโซยังไงบ้าง
 เป็นสีสันนะ แต่อยากจะบอกคนที่เข้ามาเป็นไฮโซเพื่อให้คนยอมรับนะ คือ ถ้าสิ่งที่เราทำแล้วนำกลับไปปรับใช้เพื่อพัฒนาสังคมจะดีมาก อย่างตอนแรกที่เรียนปริญญาเอก เขาอาจจะนินทากันว่าเรียนเพื่อเอาตำแหน่งนำหน้า แต่พองานออกมาทุกคนสามารถนำงานของเราไปปรับใช้ได้จริง เราต้องฝ่าพายุเหล่านี้ไปให้ได้ เราเรียนเพื่อนำมาใช้พัฒนาตัวเองและสังคม เขาก็เห็นเราเป็นไอดอลไม่ใช่ว่าเป็นไฮโซแล้วมัวแต่อวดรวย ทำไมเราไม่สร้างคุณค่าให้แก่ตัวเองล่ะ

เรียนปริญญาเอกเพื่ออะไร
 เรามีเป้าหมาย อย่างตอนที่เรียนปริญญาโทที่จุฬาฯ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งเรียนเกี่ยวกับการเมืองที่เอาเศรษฐกิจนำหน้า เป็นการล่าอาณานิคมโดยใช้ธุรกิจ ยกตัวอย่างอเมริกาเอาแมคโดนัลด์ไปตั้งที่รัสเซีย คนรัสเซียเข้าคิวซื้อเงินก็เข้าอเมริกา นี่คือการล่าอาณานิคมโดยการใช้ธุรกิจ ต่อไปในอนาคตธุรกิจเสริมสวยจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง อีกหน่อยเราจะเอาความรู้ของเราไปขายให้แก่พม่า เวียดนาม เงินก็เข้าบ้านเรา นี่คือสิ่งที่คิดอยู่ในใจว่าต่อไปเราต้องไปล่าแบบนี้บ้าง
 แต่ก่อนจะล่าเราต้องสร้างมาตรฐานให้แก่อาชีพนี้ก่อน เลยมาถึงเรื่องของมาตรฐานในปริญญาเอก ซึ่งเป็นเรื่องของมาตรฐานอาชีพของช่างทำผม ช่างทำผมไทยมีมาตรฐานหรือเปล่า มี อยู่ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานกำหนดไว้ โดยคุณนคร ศิลปอาชา เป็นอธิบดี พอได้เรียนก็กัดไม่ปล่อย ระหว่างที่เรียนก็หาข้อมูลพวกนี้เอาไว้ตลอด เสร็จแล้วก็พบว่ามาตรฐานของช่างผมไทยมีทั้งหมด 6 แผ่น เขียนโดยนักวิชาการ ของเราทำออกมา 300 แผ่น เขียนโดยช่างทำผม ซึ่งอันนี้เราจะนำมาเทียบกับมาตรฐานที่อ้างอิงจาก 10 ประเทศทั่วโลก แน่นอนว่ามาตรฐานของประเทศอังฤกษดีที่สุด เขามีทั้งหมด 7 ระดับ แต่เราจะทำแค่ 5 ระดับ
 ซึ่งมาตรฐานตรงนี้เราจะนำไปเทียบกับระดับการศึกษาด้วย เช่น ช่างสระเซ็ทจะเท่ากับระดับประถมศึกษา ช่างไดร์ผมเท่ากับระดับมัธยมศึกษา อาชีพช่างทำผมหรือช่างที่ขายฝีมือทั้งหมดในบ้านเรามีปัญหา คือ เวลาสอนสอนแต่ฝีมืออย่างเดียว ไม่เคยสอนอีก 3 ด้าน คือ ทัศนคติ คุณธรรม จรรยาบรรณ การบริหาร บริการ ไม่มี กลายเป็นการเสริมอีโก้แทน ทำให้วงจรชีวิตเขาสั้น ในวิทยานิพนธ์ของเราระบุมาตรฐานของช่างทำผมต้องมี 5 ระดับ ซึ่งทุกระดับต้องมีความสามารถทั้ง 4 ด้าน คือ ฝีมือ ทัศนคติ จรรยาบรรณ บริหารและบริการ โดยเฉพาะการบริการที่จะทำอย่างไรให้ลูกค้าได้ใช้บริการที่ออกมาจากข้างในตัวเรา ตรงนี้ต้องอาศัยจิตวิทยาเข้ามาช่วย การบริหารจะสร้างตราสินค้าอย่างไรให้ยั่งยืน ตรงนี้แหละที่จะนำไปปรับเป็นโมเดลทางการศึกษาต่อ

ต้องใช้เวลานานเท่าไรโมเดลการศึกษานี้ถึงจะเป็นรูปเป็นร่าง
 น่าจะประมาณ 2-3 ปี เป็นขั้นต่อไปที่เราจะทำ ต่อไปทำอย่างไรให้เรามีลิขสิทธิ์ บ้านเราไม่มีลิขสิทธิ์ ร้านไม่มี ช่างไม่มี แล้วต่อไปอะไรจะไปดูแลเขา ถ้าไม่ตายซะก่อนก็จะทำเรื่องลิขสิทธิ์นี้ มีงานอยู่เรื่อยๆ แหละ พอเราทำงานแล้วเราจะเจองานเป็นแบบนี้มาตลอด
 
ตอนนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
 ยังหรอก เพราะเมื่อไรที่คุณพูดว่า "สำเร็จ" คุณก็จบ ความสำเร็จคือ การนิพพาน ไม่ได้หมายความว่าต้องตายนะ แต่หมายถึงคนที่ไม่อยากได้อะไรแล้ว แต่เรายังอยากได้อยู่ กิเลส ตัณหา ราคะ ของมนุษย์ยังมีอยู่เลยยังไม่สำเร็จ 

รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือเปล่า 
 ไม่เห็นเหนื่อยเลย มีความสุข ในชีวิตเรามีกรอบอยู่แล้ว คือ หน้าที่ ครอบครัว ตัวเอง สังคม วางเอาไว้มา 20 ปีแล้ว หน้าที่คืออะไร ช่างทำผม ครอบครัวพ่อแม่ไปจากเรา ทุกคนจะรู้ว่าเราเลี้ยงแม่แบบสุดๆ แล้วได้ใจนะ ตัวเองก็ได้มาเยอะ แหม...ลูกเจ๊กลูกจีนที่ไหนคนให้โอกาสแบบนี้ เป็นช่างทำผมตัวน้อยๆ สูง 163 ซม. ทุกคนรู้จักหมด ก่อนหน้านี้เราจะหาคนมาเป็นไอดอล สมัยก่อน พี่ปาน บุนนาค (ช่างผมคนดังในอดีต)ดังมาก เราจะถามเจ้าป้า (เจ้ากอแก้ว ประกายกาวิล ณ เชียงใหม่) ว่าผมดังเท่าพี่ปานหรือยัง เจ้าป้าบอกเราดังกว่าเขาแล้ว จะเช็กตลอด แต่เราไม่ได้ไปอิจฉาใครนะ คนอื่นๆ ก็ควรคิดแบบนี้ไม่ใช่ว่าอยู่ใต้เขาแล้วอิจฉากัน
 สุดท้าย สังคมถามว่าเรียนหนังสือเสียเวลา เสียเงิน ถามว่าเป็นดอกเตอร์แล้วช่วยให้เงินในกระเป๋าเยอะขึ้นหรือเปล่า ไม่เลย แต่ได้ศักดิ์ศรี ได้เป็นไอดอลให้หลาน ได้งานให้สังคม มีความสุข ถ้าวันไหนเหนื่อยนอนเลย เพราะเป็นคนรักตัวเองและหลงตัวเองมาก เราเชื่อสมองเราถ้าร่างกายอยากดับสวิตช์นอนเลย ร่างกายอยากกินดีกิน หลายๆ คนมองว่าเราแอ็กทีฟตลอดเวลา พอทำแบบนี้แล้วเป็นไอดอลให้กับริชชี่ด้วย ถ้ามีปัญหามองเป็นขนมเค้กกินเข้าไปก็จบ

เป็นไอดอลให้หลานแบบนี้ วางแผนชีวิตอะไรให้เขาบ้าง
 ไม่เคยวางแผนเลย ไม่บังคับเขา แต่จะคอยมองว่าเขาชอบอะไรแล้วสนับสนุนทันที พ่อแม่บางคนชอบกำหนดลูก บังเอิญเรียนสาขาพัฒนามนุษย์มา ริชชี่ถือเป็นหนูตะเภาตัวหนึ่งของเราก็ว่าได้ แต่ถึงยังไงเราก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ทุกคนต้องมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง จะสอนให้เขาเป็นเซ็นเตอร์ของมนุษย์ เป็นเซ็นเตอร์ของสังคม ไม่ใช่ภาระของสังคม เพราะถ้าเกิดเขาดูแลตัวเองไม่ได้เขาจะดูแลสังคมได้ยังไง
 
อยากให้หลานเดินตามหรือเปล่า
 เฉยๆ นะ แล้วแต่เขา เพราะสุดท้ายยังไงเราก็ต้องให้การศึกษาเขาไปเรื่อยๆ สำหรับตัวเองคงจะไปอยู่บ้านที่เชียงใหม่ เพราะตั้งใจจะให้ริชชี่(หลานชาย) เข้าเรียนที่โรงเรียนวชิราวุธซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ บ้านที่เชียงใหม่นั้นตั้งใจจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ผมแบบส่วนตัวเล็กๆ ในบ้าน แต่โปรเจกท์นี้คงอีกสักพักใหญ่ๆ นั่นแหละ

 และนี่ก็คือ...ตัวตนของคนชื่อ สมศักดิ์ ชลาชล เขาล่ะ...