ข่าว

มาเคด้าอีกแล้วผีเฉือดแมว2-1หงส์แดงคืนฟอร์มหรูเชลซีนำ4-0ชนะ4-3

มาเคด้าอีกแล้วผีเฉือดแมว2-1หงส์แดงคืนฟอร์มหรูเชลซีนำ4-0ชนะ4-3

12 เม.ย. 2552

เฟเดริโก้ มาเคด้า หัวหอกดาวรุ่งเป็นซูเปอร์ซับให้ "ปีศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้ง ทำประตูชัยให้ทีมบุกเฉือน "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ 2-1 ในศึกพรีเมียร์ชิพ เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ทำให้นำจ่าฝูงเหมือนเดิม เซอร์ชูมีสัญชาตญาณดาวยิง ขณะที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล คืนฟอ

 ศีกพรีเมียร์ชิพ นัดวันเสาร์ที่ 11 เมษายน "ปีศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด จ่าฝูงออกไปเยือน "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ ซึ่งเกมนี้ "เฟอร์กี้" เซอร์อเลกซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือทีมเยือนปรับทัพด้วยการพัก คริสเตียโน โรนัลโด้ เป็นตัวสำรอง แต่ส่งหัวหอกอย่าง ดิมิทาร์ แบร์บาตอฟ, คาร์ลอส เตเบซ และเวย์น รูนีย์ ลงสนามพร้อมๆ กัน ขณะที่แนวรับยังคงไม่มี ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่เจ็บเหมือนเดิม

 เริ่มเกมขึ้นมาทั้งสองทีมเดินเกมได้พอๆ กัน จนนาทีที่ 17 ของเกมทีมเยือนน่าจะได้ประตูออกนำจากลูกเตะมุมทางขวา เนมันยา วิดิช ได้โหม่งเหน่งๆ บอลย้อนจะเข้าเสาแรก แต่ แดนนี คอลลินส์ สกัดออกจากเส้นประตูได้หวุดหวิด ก่อนที่อีก 2 นาทีต่อมา แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูออกนำไปก่อนจนได้เมื่อ รูนีย์ ได้บอลทางซ้ายและเปิดเข้าเขตโทษให้ พอล สโคลส์ โหม่งเข้าทางเสาไกลเป็น 1-0 แต่จากนั้น ซันเดอร์แลนด์ บุกกดดัน แมนฯ ยูไนเต็ด ตลอด และเกือบตีเสมอได้ในนาทีที่ 41 จากการสกัดพลาดของ วิดิช แต่บอลไปชนเสาออกมา จบครึ่งแรก แมนฯ ยูไนเต็ดนำ 1-0

 เข้าครึ่งหลังกลับมาเล่นกันใหม่ได้ 5 นาที เจ้าถิ่นก็ตีเสมอได้เมื่อ เตมู ไตนิโอ เปิดบอลให้ เคนวิน โจนส์ โหม่ง เบน ฟอสเตอร์ ที่ออกมาตัดบอลพลาดตกที่หน้าประตู โจนส์ จึงตามซ้ำเข้าไปเป็น 1-1 ทำให้ทีมเยือนต้องเร่งอีกครั้งและก็มานำสำเร็จในนาทีที่ 76 เมื่อ ไมเคิล คาร์ริค ยิงจากหน้าเขตโทษบอลไปโดน เฟเดริโก้ มาเคด้า ที่เพิ่งลงสนามมาเป็นตัวสำรองเปลี่ยนทางเข้าประตูไป ซึ่งเป็นประตูชัยที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะหวุดหวิด 2-1 ยังนำจ่าฝูงต่อไป

 หลังจบการแข่งขัน เฟอร์กี้ ได้ออกมาชม มาเคด้า ที่ยิงประตูชัยให้ทีมในพรีเมียร์ชิพเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันว่าเป็นกองหน้าที่มีสัญชาตญาณดาวยิงขนานแท้ โดยจังหวะที่ทำประตูได้เชื่อว่าเป็นการพลิกเท้าเปลี่ยนทางบอลอย่างรวดเร็วของดาวรุ่งวัย 17 ปีรายนี้ ขณะที่การเล่นโดยรวมก็สามารถทำตามที่สั่งไว้ได้โดยดี แต่ก็ยอมรับว่าหลังจากที่ซันเดอร์แลนด์ตีเสมอได้ทำให้ลูกทีมเกร็งและเจอกับความกดดันเหมือนกัน ส่วนเกมนัดที่เหลือคงจะต้องเจอกับเกมที่ลำบากยิ่งขึ้นไปอีกแน่นอนไม่ว่าจะเจอกับทีมไหน

 "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เปิดแอนฟิลด์รับการมาเยือนของ "กุหลาบไฟ" แบล็คเบิร์น โดยเกมนี้ สตีเวน เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีมที่มีข่าวเรื่องการบาดเจ็บมีชื่อเป็นตัวสำรอง นอกนั้นเป็นทีมชุดใหญ่ทั้งชุด ขณะที่ทีมเยือนมีปัญหาเรื่องผู้เล่นบาดเจ็บหลายคนต้องใช้ คริสโตเฟอร์ แซมบ้า ขึ้นมายืนเป็นกองหน้าจำเป็น

 เริ่มเกมขึ้นมา ลิเวอร์พูล เดินเกมรุกทันที และแค่ 5 นาทีก็ได้ประตูออกนำไปก่อนเมื่อ เจมี คาร์ราเกอร์ วางบอลยาวจากแดนกลาง เข้าไปในเขตโทษบอลตกพื้นหนึ่งจังหวะก่อนที่ เฟอร์นันโด ตอร์เรส จะตวัดยิงเข้าทางเสาไกลอย่างสวยงามเป็น 1-0 จากนั้นเจ้าถิ่นน่าจะได้ประตูอีกหลายครั้งแต่ พอล โรบินสัน ยังเซฟได้ จนนาทีที่ 34 ก็มาได้ประตูที่ 2 เมื่อ ซาบี้ อลอนโซ เปิดลูกฟรีคิกจากทางซ้ายให้ ตอร์เรส โฉบโหม่งเข้าไป จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล นำ 2-0

 ช่วงครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ก็ยังเปิดเกมลุ้นประตูเพิ่มอีก แต่มักจะไปพลาดกันในจังหวะสุดท้าย จนกระทั่งนาทีที่ 83 จึงมาได้ประตูที่ 3 จากการยิงไกลของ ดาเนียล แอ็กเกอร์ เข้าไปเป็น 3-0 และในนาทีสุดท้ายของเกมเจ้าถิ่นมาได้ประตูปิดท้ายอีกประตูเมื่อ ลูคัส เลวา ตัวสำรองโหม่งบอลจากเสาไกลย้อนมาให้ นาบิล เอลชา หัวหอกดาวรุ่งโหม่งที่เสาสองเข้าไปง่ายๆ จบเกม ลิเวอร์พูล จึงชนะไป 4-0 ยังตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด 1 แต้ม

 ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือหงส์แดงออกมาชมลูกทีมทันทีหลังได้ชัยชนะ โดยถือว่าเป็นการกลับมาอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากที่แพ้ เชลซี เมื่อกลางสัปดาห์ การเล่นของทีมนั้นมีความมั่นใจเต็มที่และสามารถครองเกมเอาไว้ได้หมด ซึ่งการได้ประตูแรกตั้งแต่ต้นเกมทำให้มีพื้นที่เล่นได้ง่ายขึ้น และแม้ว่าจะไม่มี เจอร์ราร์ด แต่ก็มีนักเตะคนอื่นๆ ที่ทดแทนกันได้เป็นอย่างดี และการทำประตูได้เยอะก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับเรื่องประตูได้เสีย

 ด้าน แซม อัลลาไดช์ ผู้จัดการทีมโบลตัน ออกมายอมรับว่า ลิเวอร์พูล มีดีพอที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพฤดูกาลนี้ได้ แม้ว่าจะมีแต้มตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด และแข่งมากกว่า 1 นัด โดยมองว่าหากยังเล่นด้วยฟอร์มนี้ต่อไปแล้วโอกาสจะเป็นแชมป์ถือว่ามีสูง จากการเล่นด้วยความมั่นใจและความเร็วในการเล่น

 "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี เล่นในสแตมฟอร์ด บริดจ์ ออกนำ โบลตัน ไปก่อน 4-0 จากประตูของ มิชาเอล บัลลัค นาทีที่ 40, ดิดิเยร์ ดร็อกบา นาทีที่ 48 กับ 63 และจุดโทษของ แฟรงค์ แลมพาร์ด นาทีที่ 60 แต่ โบลตัน ก็ยิงไล่มา 3 ประตูรวดจาก แอนดี้ โอไบรอัน นาทีที่ 70, คริส บาแชม นาทีที่ 74 และ แมทธิว เทย์เลอร์ นาทีที่ 79 ทำให้จบเกม เชลซี ชนะ 4-3

 "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล ออกไปเยือน วีแกน และโดนนำก่อน 1-0 จาก มิโด้ นาทีที่ 19 ซึ่งกว่า ปืนใหญ่จะมาตีเสมอได้ก็ต้องรอถึงนาทีที่ 60 จาก ธีโอ วัลค็อตต์ เป็น 1-1 จากนั้น อาร์เซนอล ทำได้เหนือกว่าแซงนำ 2-1 จาก มิกกาแอล ซิลแวสต์ นาทีที่ 71 และท้ายเกมมาได้เพิ่มอีก 2 ประตูจาก อังเดน อาร์ชาวิน นาทีที่ 90 กับ อเลกซานเดอร์ ซง ช่วงทดเจ็บ อาร์เซนอล จึงชนะสบายๆ 4-1 ผลคู่อื่นๆ มิดเดิลสโบรช์ ชนะ ฮัลล์ ซิตี้ 3-1, ปอร์ทสมัธ เสมอ เวสต์บรอมวิช 2-2, สเปอร์ส ชนะ เวสต์แฮม 1-0 และ สโต๊ค เสมอ นิวคาสเซิล 1-1

 ตารางคะแนนพรีเมียร์ชิพ

  แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ ได้ เสีย แต้ม

แมนฯ ยูไนเต็ด 31  22   5   4   54   21    71
ลิเวอร์พูล 32  20  10   2   59   21    70
เชลซี  32  20   7   5   55   20    67
อาร์เซนอล 31  16  10   5   50   27    58
แอสตัน วิลล่า 31  15   7   9   45   39    52
เอฟเวอร์ตัน 31  14   9   8   44   31    51
เวสต์แฮม 32  12   8  12   37   36    44
สเปอร์ส 32  11   8  13   38   36    41
วีแกน  31  11   8  12   30   32    41
ฟูแล่ม  31  10  10  11   30   27    40
แมนฯ ซิตี้ 31  11   5  15   46   39    38
โบลตัน  32  11   4  17   39   49    37
สโต๊ค  32   9   9  14   32   48    36
ปอร์ทสมัธ 31   8  10  13   34   48    34
ฮัลล์ ซิตี้ 32   8  10  14   36   55    34
แบล็คเบิร์น 32   8  10  14   35   54    34
ซันเดอร์แลนด์ 32   8   8  16   30   43    32
นิวคาสเซิล 32   6  12  14   37   52    30
มิดเดิลสโบรช์ 32   7   9  16   25   47    30
เวสต์บรอมวิช 32   6   7  19   28   59    25