
ฟุกุชิมะสะเทือนไทยสะท้าน
เหตุระเบิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจังหวัดฟุกุชิมะ ของญี่ปุ่น ล่าสุดลุกลามไปถึงเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 3 แล้ว ไม่เพียงคนญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้บริเวณโรงงาน จะต้องประหวั่นพรั่นพรึงกับไอน้ำที่มีสารกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนออกมาในรัศมีที่ไม่อาจคาดเดาได้ ขนาดของความ
หากทั่วโลกที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตั้งอยู่ รวมทั้งประเทศไทยที่มีแผนจะตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 โรง ภายในปี 2563 และ 2564 หรืออีกราว 10 ปีข้างหน้านี้ อาจจำเป็นต้องทบทวนด้วย ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่น มีผลกระทบต่อแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบมาแล้วก็ตาม
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า 2007 หรือพีดีพี 2007 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 โดยวางแผนให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำนวน 2 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 4 พันเมกะวัตต์ ผู้พิจารณาให้เหตุผลว่า ต้องการกระจายความเสี่ยงด้านการจัดหาเชื้อเพลิง เพราะเชื้อเพลิงจากฟอสซิลและถ่านหินนั้นมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะหมดไป ก่อนหน้านั้นใน พีดีพี ฉบับที่เปิดรับฟังความเห็นที่โรงแรมสยามซิตี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550 ยังวางแผนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิง 3 แบบ โดยมีนิวเคลียร์เป็นทางเลือกสุดท้าย อีกทั้งหน่วยงานรับผิดชอบก็ไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าจะเลือกทางนี้ นั่นอาจเป็นผลในแง่จิตวิทยา มากกว่าเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องวางแผนพลังงานทดแทนในอนาคต
ข้อมูลล่าสุดราว 2 ปีย้อนหลัง ทั่วโลกมีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่กำลังเดินหน้าผลิตไฟฟ้าจำนวน 435 เครื่อง กระจายอยู่ใน 31 ประเทศ คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวม 370 กิกะวัตต์ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 2.6 ล้านล้านหน่วย หรือร้อยละ 14 ของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก ขณะเดียวกันก็มีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อีก 52 เครื่อง ใน 15 ประเทศ ที่ได้ขึ้นบัญชีโดยทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ว่า “อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง” ในจำนวนนี้มี 13 เครื่อง หรือ 1 ใน 4 คงสถานภาพกำลังก่อสร้างมานานกว่า 20 ปี ประเทศที่มีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ใช้ผลิตไฟฟ้ามากที่สุด อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา 104 เครื่อง อันดับ 2 ฝรั่งเศส 58 เครื่อง และอันดับ 3 ญี่ปุ่น 53 เครื่อง ประเทศเหล่านี้ล้วนมีวิทยาการก้าวหน้าทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะอย่างไร การยืนยันแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือการล้มแผนสร้างในประเทศไทย ไม่ควรขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์เฉพาะหน้า หาไม่แล้วนโยบาย แผนงานต่างๆ ที่ได้ผ่านกระบวนการรับฟังความเห็น วิเคราะห์ข้อมูล ผลได้ ผลเสีย อย่างถี่ถ้วน ก็จะไม่มีความหมาย ซึ่งหากพิจารณาบริบท สภาพแวดล้อม สถานที่ตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งที่เชอร์โนบิล โรงไฟฟ้าที่ฟุกุชิมะ ก็แตกต่างจากสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าในประเทศไทย ความหวาดกลัว วิตกกังวล ของคนที่มีบ้านเรือน พักอาศัยในบริเวณสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งคนนอกไม่อาจเข้าใจ และมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมได้อย่างแท้จริง เป็นเรื่องเข้าใจได้ เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องอธิบาย หรือชดเชยความเสียหายให้พวกเขาให้คุ้มค่าความเสียสละกรณีที่ต้องย้ายออกไป เรื่องพลังงานทดแทนในอนาคต เป็นเรื่องสำคัญ กว่าเราจะรู้สึกได้ ต้องรอให้ขาดใจ คงสายเกินไป