ข่าว

พลิกแฟ้มคดีดัง : เงาอสูร 'พฤษภาทมิฬ'

พลิกแฟ้มคดีดัง : เงาอสูร 'พฤษภาทมิฬ'

11 เม.ย. 2552

17 ปีให้หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬยังคงมีเรื่องเล่า มีความทรงจำ และความสูญเสีย ที่ติดตราอยู่ในใจใครหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียอวัยวะและชีวิตไปกับการเรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อที่วันนี้ผู้คนจะได้หยิบยกขึ้นมาอ้างเหตุแห่งความชอบธรรมในการโจมตีศัตรูการเมือง

"สุพจน์ คำนวณดี" หนุ่มร้อยเอ็ดวัย 39 ปี ยังคงจดจำภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี เหมือนบันทึกช่วยจำที่ไม่อาจลบหายไปจากใจได้ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าใด ด้วยชีวิตที่เคยสุขสงบเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่เขาถูกยิงเข้าที่ต้นคอซ้าย เมื่อเช้ามืด 18 พฤษภาคม 2535 !?!

 ในวัย 22 ปี สุพจน์ประกอบอาชีพขายเสื้อผ้าแถวๆ ถนนราชดำเนิน แม้จะจบแค่ ป.6 แต่เขาก็สนใจใคร่รู้ข่าวสารบ้านเมือง เมื่อมีการชุมนุมประท้วงการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร บนถนนราชดำเนิน เขาเลยกลายเป็นหนึ่งในนั้นด้วย อยู่ร่วมชุมนุมกระทั่งถึงวันที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พากลุ่มผู้ชุมนุมมุ่งหน้าไปทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 17 พฤษภาคม

 ระหว่างการเคลื่อนขบวนไปตามถนนราชดำเนินผ่านนางเลิ้ง เกิดการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับตำรวจและทหาร มีการเผาทำลายสิ่งของ อาคาร รถยนต์ ตำรวจ-ทหารใช้อาวุธหนักหวังระงับเหตุการณ์ แต่กลับกลายเป็นเหมือนราดน้ำมันลงกองเพลิง จุดชนวนให้เกิดความรุนแรงยิ่งยิ่งขึ้นไป จนไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้อีกต่อไป

 สุพจน์ผ่านพ้นเหตุร้ายช่วงวันที่ 17 พฤษภาคมมาได้อย่างฉิวเฉียด เขากับเพื่อนอีก 4-5 คน ตะเกียกตะกายหนีห่ากระสุนที่ระดมยิงมาทุกทิศทุกทาง กระเสือกกระสนไปไม่รู้เหนือรู้ใต้ รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องหลบรถยีเอ็มซีและกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่กราดยิงใส่ฝูงชนอย่างบ้าคลั่ง เขาและเพื่อนวิ่งมาได้ไกลสุดแค่สะพานขาว แล้วทุกอย่างก็จบลง พร้อมกับความโหดร้ายยามค่ำคืนอันสับสน

 เพื่อน 2 คนถูกยิงสุพจน์อุ้มพาดบ่าซ้าย ส่วนมือขวาโอบเอวเพื่อนอีกคนที่ถูกยิง หอบกระเตงกันหนีตายสุดชีวิต แต่ก็ไปได้แค่ 10 ก้าวเท่านั้นก็ต้องล้มลงอยู่ตรงนั้น กระสุนเอ็ม 16 นัดหนึ่งพุ่งเจาะเข้าที่ต้นคอด้านซ้าย เลือดสีแดงเข้มไหลทะลัก ในวาบความคิดของเด็กหนุ่มคือความสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าชะตากรรมหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร จะตายอยู่ตรงนี้ หรือรอดชีวิตกลับไปอย่างคนพิการ มีบาดแผลในใจให้จดจารไปชั่วชีวิต

 "ผมจำได้เพียงว่า มีแต่รองเท้าท็อปบู๊ท เสียงร้องครวญครางดังระงมอยู่ในแก้วหู ส่วนเรื่องอื่นผมจำไม่ได้เลย รู้แต่ว่ามีทหารคนหนึ่งลากขาผมไปที่รถยีเอ็มซี เพราะเขานึกว่าผมตายแล้ว แต่มีพยาบาลคนหนึ่งเห็นว่า ผมยังไม่ตายเลยยกขึ้นรถ รพ.ตำรวจ" สุพจน์ หวนคิดถึงอดีต

 เด็กหนุ่มนอนพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือน การรอดตายจากสมรภูมิเลือดครั้งนั้น ทำให้ชีวิตสุพจน์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คมกระสุนทำลายระบบประสาท และอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจส่งเสียงพูดได้อีกต่อไป หากจะสื่อสารกับใครต้องใช้วิธีการเขียนเป็นตัวหนังสือแทน นอกจากนี้ เวลากินข้าวก็ต้องใช้ช้อนงัดริมฝีปากให้เผยอ แล้วจึงตักข้าวกินได้

 "ผมยังมีอาการทางประสาทตามมาด้วย ผมจะกลัวและผวาทุกครั้งที่เวลามีคนเปิดปิดไฟนีออน"

 สุพจน์วิ่งเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อการรักษาตัวอยู่นานถึง 6 ปี จึงสามารถเปล่งเสียงออกมาได้อีกครั้ง ปัจจุบันเขาพูดได้เกือบเป็นปกติ แต่กรามขวายังมีอาการตึงและชาตลอดเวลา เวลาเคี้ยวอาหารจึงต้องใช้เฉพาะกรามซ้ายเท่านั้น

 แต่ความเจ็บปวดเหล่านี้คงเทียบไม่ได้กับผลกระทบที่เกิดจากครอบครัว ตอนได้รับบาดเจ็บแรกๆ เขาถูกทอดทิ้งจากคนรอบข้าง หลายครั้งที่เข้าไปขอความช่วยเหลือแล้วถูกปฏิเสธ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น 4 ปีให้หลังพฤษภาทมิฬ เมียและลูก 2 คน ทิ้งเขาไป เพราะทนไม่ได้กับอาการทางประสาท ความช้ำชอกเอ่อท้นหัวอกทุกครั้งที่คิดว่า เมียเขาได้ตัดสินใจถูกต้องแล้ว

 ทุกวันนี้สุพจน์ทำงานขับรถให้ผู้มีพระคุณคนหนึ่งที่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือเขายามที่ไม่มีใคร แม้จะมีบาดแผลและเจ็บช้ำเพียงใด สุพจน์ก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องประชาธิปไตยในครั้งนั้น   

 ในรายชื่อนักสู้เพื่อประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนครั้งนั้น เชื่อว่าต้องปรากฏนาม "สมยศ วิไกรสุขสกุล" หนุ่มกลางคนจากสงขลา วัย 51 ปีเป็นหนึ่งในนั้นด้วย วันนี้เขาเป็นอัมพาตช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไป เหตุเกิดจากคมกระสุนเอ็ม 16 เจาะเข้าเอวซ้ายเลยทะลุออกอีกฝั่ง ราวบ่าย 2 โมง 20 พฤษภาคม เขานอนสลบไม่ได้สติอยู่ใน รพ.หัวเฉียว นานกว่า 10 วัน และยังต้องนอนพักรักษาตัวต่ออีก 8 เดือน จนเมียที่ตอนนั้นตั้งท้องได้ 2 เดือน คอยเฝ้าปรนนิบัติตัดสินใจฝากครรภ์และคลอดลูกที่โรงพยาบาลเดียวกันนี้

 "ผมไม่เคยคิดเลยว่า ตำรวจ ทหาร จะใช้ความรุนแรงกับประชาชน เอาปืนเอากระสุนที่ซื้อจากเงินภาษีของเรามาทำร้ายเรา"

 ทุกวันนี้สมยศเปิดร้านขายของชำอยู่ที่สงขลาบ้านเกิด มีความสุขไปตามอัตภาพอย่างที่ควรจะเป็น เชื่อว่าเขาเองก็คงไม่ลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยเหมือนกับคนอื่นๆ และเฝ้าภาวนาว่าอย่าได้เกิดเรื่องร้ายๆ อย่างนั้น...อีกเลย 

 ปฐมบทแห่งการนองเลือด

 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผบ.สส. พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผบ.ทบ.และผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลมีพฤติการณ์ฉ้อราษฎร์บังหลวง ข้าราชการการเมืองใช้อำนาจกดขี่ข้าราชการประจำ เป็นเผด็จการรัฐสภา ทำลายสถาบันทหาร
 คณะ รสช.ได้ตั้งให้นายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2521 แล้วร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ซึ่งเอื้อต่อการสืบทอดอำนาจของคณะ รสช. ภายหลังการเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคม 2535 แกนนำจัดตั้งรัฐบาล 5 พรรคได้เสนอชื่อ พล.อ.สุจินดา ขึ้นเป็นนายกฯ ในวันที่ 7 เมษายนปีเดียวกัน และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่ตั้งให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 19 ของไทย
 กระแสการต่อต้านรัฐบาล พล.อ.สุจินดา เริ่มต้นขึ้นในวงกว้าง มีผู้คนทยอยมาร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวงอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา จนถึงจุดแตกหักเมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นำผู้ชุมนุมกว่า 3 แสนคนมุ่งหน้าออกจากสนามหลวงไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกดดันให้ พล.อ.สุจินดา ลาออก ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 แล้วเกิดการปะทะกับตำรวจและทหาร จนกลายเป็นความรุนแรงบานปลายในที่สุด
 20 พฤษภาคม 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำผู้ชุมนุมเข้าเฝ้าพร้อมกัน แล้วมีพระราชกระแสรับสั่งให้ทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากันยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น

 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬมีคนเสียชีวิต 52 คน หนึ่งในนั้นเป็นนักข่าวต่างประเทศ ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 691 คน ตำรวจ 88 นาย ทหารบาดเจ็บสาหัส 4 นาย บาดเจ็บเล็กน้อย 190 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้สูญหายอีก 69 คน ความเสียหายด้านทรัพย์สินประเมินได้ 1,790 ล้านบาท อาคารของทางราชการถูกเผา 7 หลัง เป็นอาคารกรมสรรพากร 2 หลัง กรมประชาสัมพันธ์ 3 หลัง กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน (กก.สด.เดิม) และ สน.นางเลิ้ง รถยนต์ของทางราชการ 204 คัน จักรยานยนต์ 43 คัน สัญญาณไฟจราจร 67 แห่ง