
ประวิตรเห็นด้วยอาเซียนช่วยแก้ปมเขมร
"ประวิตร" โอเคให้อาเซียนช่วยแก้ปมศึกเขมร เชื่อสัญญาณดี อาเซียนให้คุยทวิภาคี ส่งทหารอินโดฯสังเกตการณ์ดูไทย-เขมร ด้าน ประยุทธ์ สั่งทหารชายแดนเข้มระหว่างรอคณะผู้สังเกตการณ์ หวั่นปะทะซ้ำ ขณะที่ ทบ.เผยรอ ประวิตร- เตียบันห์ หารือ สูตรผู้สังเกตการณ์ ยันไม
(24ก.พ.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการส่งคณะผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาฝ่ายละ 15 คนว่า เรื่องนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถึงแนวทางเพื่อต้อนรับคณะผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียไปประจำอยู่กับกองทัพไทย-กัมพูชา ฝ่ายละ 15 คน ตามที่มติที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่างไม่เป็นทางการ ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียที่สนับสนุนให้ไทย และกัมพูชา แก้ปัญหาบริเวณชายแดนแบบทวิภาคี ดังนั้นจะต้องรอพูดคุยในรายละเอียดก่อนว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรให้เกิดเป็นรูปธรรม
“ผมยังตอบไม่ได้ว่า ทิศทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะยังไม่ได้คุยกับรมว.ต่างประเทศ พูดตอนนี้อาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ แต่การดำเนินการเรื่องนี้ถือว่าโอเค การพูดคุยกับแบบทวิภาคี และทางอินโดนีเซีย ในฐานะประธานการประชุมรมว.ต่างประเทศอาเซียน ที่ส่งเจ้าหน้าที่มาเป็นผู้สังเกตการณ์ ตามที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ที่ต้องการให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปตามทวิภาคี โดยให้อาเซียนมาเป็นพี่เลี้ยงถือว่าทุกอย่างโอเค ” พล.อ.ประวิตร ระบุ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รายละเอียดว่า จะให้ผู้สังเกตุการณ์จากอินโดนีเซียจะไปอยู่กันอย่างไร หรืออยู่กันตรงไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องมาพูดจากันก่อน ส่วนรายละเอียดเรื่องนี้จะต้องพูดคุยกับ นายกษิต ก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีในการแก้ไขปัญหาของไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะกรอบการพูดคุยกันในระดับทวิภาคีเรียบร้อย ก็จะต้องมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ซึ่งถือว่ามีช่องทางที่จะพูดจากันอยู่ ส่วนกองทัพจะจัดเจ้าหน้าที่ร่วมติดตามกับคณะผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียอย่างไรนั้น เรื่องนี้จะต้องคุยในรายละเอียดแผนปฏิบัติการก่อนว่า จะจัดเจ้าหน้าที่คนใดเข้าไปร่วมในเรื่องนี้ หรือ จะเจ้าหน้าที่ระดับไหนเข้ามา เราจึงจะจัดคนของเราเข้าไปร่วมอย่างเหมาะสม อีกทั้งตนจะต้องพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ด้วยในการจัดกำลังพลเข้าไปสังเกตการณ์ในเรื่องนี้
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการส่งคณะผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาฝ่ายละ 15 คนว่า เป็นข้อตกลงของยูเอ็นเอสซีที่ประชุมที่อินโดนีเซีย เมื่อมีผลสรุปเป็นแบบนั้น แต่ทุกอย่างต้องรอขั้นตอน และการดำเนินการต่อไป ซึ่งจะต้องมีการสรุปผลการประชุมเป็นลายลักษณ์อักษรถึงรัฐบาลไทย และรัฐบาลต้องแจ้งไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ทำเรื่องมายังกระทรวงกลาโหม จากนั้นรมว.กลาโหมต้องเรียกประชุมกับผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอแนวทางในการฏิบัติของทั้งสองฝ่ายโดยจะต้องมีการประสานไปยังกัมพูชาว่า จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งทุกอย่างมีขั้นตอนมาก
“ช่วงที่รอคณะผู้สังเกตการณ์ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะต้องระมัดระวังในพื้นที่ เพื่อดูแลไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง ซึ่งเรายืนยันว่ากองทัพไทยไม่ได้มีการเริ่มก่อน แต่เมื่อมีเหตุการณ์มา เราต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน การที่คณะผู้สังเกตการณ์ทั้ง 15 คนจะเข้ามานั้นจะต้องมีขั้นตอน ไม่ได้พูดสั่งการทางโทรศัพท์แล้วจะจบ ทุกอย่างต้องมีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร โดยเฉพาะเอกสารผลการประชุม รวมถึงมติต่างๆว่า จะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชารับทราบ รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองประเทศว่า จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงประชุมหารือกันว่า จะแก้ไขอย่างไร และผู้สังเกตุการณ์ทั้ง 15 คนจะอยู่ในพื้นที่ใด เมื่อตกลงรายละเอียดแล้วต้องมาพูดคุยกันที่กระทรวงกลาโหม เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องกำลังทหาร จากนั้นกระทรวงกลาโหมจึงเรียกกองทัพมาพูดคุยและประชุม ส่วนกัมพูชาจะดำเนินการในลักษณะเดียวกันตามที่เอกสารระบุ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
แหล่งข่าวนายทหารระดับสูงจากกองทัพบก ระบุว่า ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ หลังจาก พล.อ.ประวิตร ร่วมประชุมสภากลาโหมกับผบ.เหล่าทัพที่กระทรวงกลาโหมเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ในช่วงบ่ายนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จะเข้าพบ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่กระทรวงกลาโหม เพื่อหารือกรณีที่ประเทศอาเซียนมีมติให้ทหารอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ไทย – กัมพูชา ฝ่ายละ 15 คนว่า จะมีการกำหนดรูปแบบการทำงานของทหารอินโดนีเซียที่เข้ามาสังเกตการณ์ บทบาทหน้าที่จะต้องทำอะไรบ้างให้ชัดเจน จากนั้นจะมีคำสั่งให้กองทัพบกดำเนินการ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการทำงานของทหารกับกระทรวงต่างประเทศไม่ได้ขัดแย้งกันในเรื่องให้มีผู้สังเกตการณ์จากต่างชาติในพื้นที่ เพราะก่อนที่นายกษิต กับ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก ในฐานะตัวแทนกองทัพบก จะเดินทางไปหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการในเรื่องดังกล่าว กองทัพได้หารือกับกระทรวงต่างประเทศในกรอบเบื้องต้นไปแล้ว และไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันพลจัตวา ดารู ผู้ช่วยฑูตทหารอินโดนีเซีย ได้หารือกับ พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสนาธิการทหารบก ถึงแนวทางการทำงานของคณะผู้สังเกตการณ์ของอาเซียน กรณีเหตุปะทะกันระหว่าง ไทย-กัมพูชา ในพื้นที่พิพาทชายแดนเขาพระวิหาร ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ให้กองทัพบกเตรียมสถานที่และยานพาหนะในกรณีที่ผู้สังเกตการณ์จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ โดยขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดห้วงเวลา
“ฝ่ายอินโดนีเซียกำหนดไว้คร่าวๆ ว่า ในจำนวนคณะผู้สังเกตการณ์ 30 คน อาจจะเป็นการแบ่งไปเป็นสองส่วน ฝ่ายละ 15 นาย กับอีกสูตรหนึ่งจะแบ่งเป็นสองส่วนเช่นกัน คือ ทหาร 25 นาย พลเรือน 5 คน ในส่วนของทหารจะแบ่งเป็นฝ่ายละ 11 นาย รวม 22 นาย ส่วน 3 นายที่เหลือจะเป็นส่วนบังคับบัญชาที่จะประสานงานของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติทั้งสองฝ่าย ส่วนกรอบการปฏิบัติ อำนาจหน้าที่ และพื้นที่ ในการเข้าไปทำงาน น่าจะมีการคุยกันระดับรมว.กลาโหมของสองประเทศก่อน โดยการจัดกำลังจะเป็นลักษณะเดียวกับกรณีที่เคยมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสังเกตการณ์ที่อาเจะห์ แต่ภารกิจและอำนาจหน้าที่จะไม่กว้างขวางเหมือนกรณีอาเจะห์ เพราะปัญหาของไทย-กัมพูชา เล็กกว่า” แหล่งข่าวระบุ
ชาวเขมรติดตามข่าวใกล้ชิดหลังผู้นำกัมพูชายื่นศาลโลก
ที่บริเวณด่านพรมแดนอรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ยังคงคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวเขมรที่เดินทางเข้ามาค้า ขายในตลาดโรงเกลือ ฝั่งไทย ส่วนนักพนันและนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเดินทางออกไปฝั่งกัมพูชา ยังบางตาแม้เหตุการณ์ปัญหาชายแดนได้ยุติลงแล้วก็ตาม
พ.ต.ท.เบญจพล รอดสวาสดิ์ รอง ผกก.ตม.สระแก้ว เปิดเผยว่า ชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขายและทำงานรับจ้างในตลาดโรงเกลือ ยังคงเดินทางข้ามด่านพรมแดนอรัญประเทศ เข้ามาอย่างปกติแล้ว แม้แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็มีแนวโน้มเดินทางผ่านเข้า-ออกด่านพรมแดน อรัญประเทศ มากขึ้น ส่วนนักพนันและนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเดินทางออกไปฝั่งกัมพูชาถึงแม้จะยัง ไม่เท่าเดิมแต่ก็มีแนวโน้มดีขึ้นโดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ชาวไทยเริ่มมาติดต่อขอ อนุญาตินำคณะทัวร์ชาวไทยเดินทางไปนครวัด-นครทม ของกัมพูชา กันมากขึ้น
ส่วนที่ตลาดปอยเปต ฝั่งกัมพูชา ช่วงสายของวันนี้ได้มีชาวเขมรส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า แม่ค้า ต่างออกมาหาซื้อหนังสือพิมพ์กัมพูชา ไปอ่านกันเป็นจำนวนมากหลังซบเซามา 2-3 วันซึ่งจากการสอบถามนายเยือน ยิม อายุ 32 ปี พ่อค้าชาวกัมพูชา ในปอยเปต กล่าวว่าต้องการติดตามข่าวสารกรณีหลังการเจรจาไทย-เขมรที่ประเทศอินโดนีเซีย หรือประชุม รมว.ต่างประเทศอาเซี่ยน โดยเฉพาะการที่อาเซี่ยนจะส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาดูปัญหาเรื่องขัดแย้งชาย แดนไทย-กัมพูชา ซึ่งทางการกัมพูชาและประชาชนกัมพูชามองว่าไม่น่าจะได้ผลเนื่องจากอาเซี่ยน ยังไม่มีบารมีพอ
นอกจากนี้นายเยือน ยิม ยังบอกอีกว่า ที่ชาวเขมรสนใจขณะนี้คือการที่ผู้นำกัมพูชาส่งหนังสือถึงศาลโลก ให้อ่านคำพิพากษากรณีปราสาทพระวิหารอีกครั้ง ไทยจะยอมรับหรือไม่ เกรงว่าจะทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จะไม่สามารถจบลงได้ โดยเฉพาะเรื่องการที่ชาวบ้านภูมิซรอล ของไทยจะยื่นฟ้องศาลโลกเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลกัมพูชา 3 พันล้านบาท โดยกล่าวหาว่ากัมพูชายิงปืนใหญ่ถล่มใส่หมู่บ้านไทยทำให้เกิดความเสียหายเป็น อย่างมากนั้น ซึ่งทีวี กัมพูชา ได้เสนอข่าวนี้อย่างคึกโครม และสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกมาโต้ว่าเป็นเรื่องตลกที่ชาวบ้านภูมิซรอล ของไทยจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลกัมพูชาต่อศาลโลก จึงทำให้ชาวกัมพูชาสนใจมากว่าสุดท้ายแล้วกัมพูชาจะเสียเงินให้ไทยหรือไม่
ส่วนทางด้านหนังสือพิมพ์กัมพูชาทมัย ฉบับประจำวันที่ 24 ก.พ. 54 ได้เสนอข่าวว่า การ ประชุมอาเซียน ...ณ กรุงจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซียได้เห็นชอบตามข้อเสนอของประเทศกัมพูชา – ไทย ที่เสนอให้มีผู้สังเกตการณ์มาตรวจสอบพื้นที่ชายแดนที่มีการขัดแย้งระหว่าง สองประเทศ
การประชุมครั้งนี้ประสบผลสำเร็จด้วยดีโดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่าง ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียนได้อนุมัติว่า จะส่งผู้สังเกตการณ์จำนวน ๔๐ คน ทั้งทหารและพลเรือน ชาวอินโดนีเซีย ซึ่งต้องทำหน้าที่ผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ขัดแย้งระหว่างสองประเทศ โดยในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีการต่างประเทศอินโดนีเซียได้สัญญาว่า ฝ่ายกัมพูชา – ไทย อาจจะประชุมหารือกันอีกครั้งในประเทศอินโดนีเซีย หากมีความจำเป็นอินโดนีเซียจะเป็นฝ่ายจัดการเจรจา ซึ่งกัมพูชาได้เสนอว่า คณะกรรมมาธิการชายแดนกัมพูชา – ไทย น่าจะมีฝ่ายที่สาม เข้าร่วมในการหารือเพื่อสำรวจพื้นที่ชายแดนในอนาคต
นอกจากนี้ จนท.ระดับสูงของรัฐบาล กัมพูชาได้ แถลงว่า นี่คือความสำเร็จในการยุติการสู้รบตามแนวชายแดน แต่เรายังคงดำเนินการแก้ไขให้เรื่องนี้เสร็จสิ้น แต่กรณีที่ยังคงขัดแย้งคือการใช้แผนที่อ้างอิงพื้นที่ชายแดน ทางเลือกของกัมพูชาคือ เสนอขอให้ศาลโลกอ่านคำพิพากษา ปี 1962 (พ.ศ. 2505 ) อีกครั้ง เพื่อไม่ให้มีการเข้าใจผิดระหว่างประเทศทั้งสอง ทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่าให้นักการเมืองที่รู้จักแต่การออกนโยบายเพื่อใช้อำนาจสร้างความขัดแย้ง ชายแดนของทั้งสองประเทศ ซึ่งผู้เคราะห์ร้ายคือ ประชาชนตามแนวชายแดน
น.ส.พ.กัมพูชาทมัย ยังรายงานอีกว่า นายฮอ นัม ฮง รมว.กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ได้ กล่าวว่า การประชุมที่กรุงจากาตาร์ ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจต่อกัมพูชา ส่วนไทยก็เดินตามหลังเราเสมอมา
ผลที่ได้รับขณะนี้คือ 1 ). การประชุมนี้ได้สนับสนุนการให้คำมั่นสัญญาของทั้งสองประเทศกัมพูชา และไทย ในการหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธตามแนวชายแดนซึ่งได้มีการตกลงด้วยวาจาระหว่าง ผบ.กองทัพ ของทั้งสองประเทศเมื่อ 19 ก.พ. 54 2 ). อาเซียนได้เห็นชอบที่ฝ่าย กัมพูชา และไทย เชิญผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเดินทางไปตรวจสอบการหยุดยิง ซึ่งอินโดนีเซียได้เตรียมส่งผู้สังเกตการณ์มาตรวจสอบปัญหานี้แล้ว 3 ). ในอนาคตทุกการประชุมทั้งหมดแม้จะเป็นระดับรัฐมนตรีการต่างประเทศ ระดับรัฐมนตรีกลาโหม หรือระดับคณะกรรมมาธิการชายแดน ต้องมีการเข้าร่วมจากอาเซียน ทุกครั้ง
นายฮอ นัม ฮง ยังยืนยันว่า ทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นสิ่งที่กัมพูชา อยากได้ นับเป็นความสำเร็จของ กัมพูชา และเป็นผลจากการที่ กัมพูชา ร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ