
ทำไมเสียงปืนยังดังที่"ภูมะเขือ".?
เมื่อถึงช่วงหน้าแล้งของทุกปี ภูเขา เล็กๆ แห่งนี้จะถูกไฟไหม้จนเกือบหมด พอเข้าหน้าฝนดินที่เคยแห้งแล้งเมื่อได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำฝน พืชพรรณต่างๆ ก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และหนึ่งในนี้จะมีต้นมะเขือพันธุ์หนึ่งเกิดขึ้นกระจายอยู่เต็มทั้งภูเขานี้ โดยมีลักษณ
ขณะเดียวกันในทางยุทธศาสตร์การรบในสมรภูมิ “เขาพระวิหาร” ชัยภูมิที่กัมพูชาจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับกองกำลังฝ่ายไทยก็เป็นที่ “ภูมะเขือ” นี้เท่านั้น เนื่องจากเป็นภูสูง หากสามารถยึดเนินเขานี้ได้ และทำการตั้งฐานบัญชาการ ฐานปืนใหญ่จะสามารถรบกับไทยได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
แต่ในความเป็นจริง ที่ผ่านมา หากกัมพูชาจะขึ้นมาบนภูมะเขือได้ จะต้องขึ้นทางบันไดเหล็ก ที่มีความสูงชันจำนวนกว่า 936 ขั้น ต่อมากัมพูชาได้ก่อสร้างกระเช้าขึ้น 2 ขนาด คือขนาดเล็ก บรรทุกได้เที่ยวละ 5-10 คน กระเช้าใหญ่บรรทุกได้เที่ยวละ 15-20 คน ซึ่งกระเช้าสองตัวนี้ยังทำหน้าที่ขนเสบียงอาหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นมาสนับสนุนกำลังพลด้วย
จุดที่ตั้งของกระเช้า อยู่บริเวณที่ทหารไทยเรียกว่า “หัวโด่” ส่วนชาวบ้านจะเรียกลานหินตรงนั้นว่า “พะลานถ้ำพระ” ซึ่งเป็นลานหินขนาดกว้างใหญ่พอสมควร เมื่อก่อนทหารพรานของไทยก็เคยตั้งฐานปฏิบัติการที่นั่นด้วย แต่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดถึงการถอนกำลังออกจากบริเวณนั้น
ปัจจุบันทหารช่างของกัมพูชากำลังดำเนินการระเบิดหน้าผาเพื่อปรับพื้นที่ตัดถนนจากหมู่บ้านโกมุย ต.กันต๊วจ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร ขึ้นมาที่ภูมะเขือ โดยถนนเส้นนี้จะตัดผ่านวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ มุ่งหน้าไปที่ปราสาทพระวิหารด้วย ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70% และเมื่อถนนเส้นนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว จะเป็นทั้งถนนเส้นทางเศรษฐกิจที่จะรองรับแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ที่กำลังจะได้รับพิจารณาเป็นมรดกโลกในเร็วๆ นี้ด้วย
ที่สำคัญถนนนี้จะเป็นเส้นยุทธศาสตร์ทางการทหาร เป็นเส้นทางที่ใช้ลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จากฐานปฏิบัติการที่ใกล้ชายแดนเขาพระวิหาร ซึ่งประกอบด้วย กองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 มี พล.ท.สะรัย ดึ๊ก เป็น ผบ.พัน. กองบัญชาการตั้งอยู่ที่บ้านเปี๊ยะสะแบก ต.กันต๊วจ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 3,000 นาย ถัดไปเป็นกองพลสนับสนุนที่ 7 มี พล.ต.วา เซือน เป็น ผบ.พัน. กองบัญชาการตั้งอยู่บ้านกะดล ต.กันต๊วจ อ.จอมกระสาน มีกำลังพล 900 นาย และกองพลสนับสนุนที่ 8 มี พล.ต.ยึม ปึน เป็น ผบ.พัน. กองบัญชาการตั้งอยู่บ้านจารี ต.กันต๊วจ มีกำลังพล 1,500 นาย ถัดออกไปอีกจะมีกองพลสนับสนุนที่ 9 มี พล.ต.กล ไว เป็น ผบ.พัน. กองบัญชาการตั้งอยู่ ต.ตึ๊กกรอโฮม อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 1,000 นาย
ที่ “ภูมะเขือ” นี้ นอกจากฝ่ายกัมพูชาจะวางกำลังทหารหน่วยหลักๆ ประชิดชายแดนไว้เป็นกำลังหลักแล้ว ยังมีการเสริมกำลังทหารจากหน่วยรบพิเศษ ที่รู้จักกันในนาม “รพศ.911” ที่ใส่หมวกเบเร่ต์สีเขียว มี พล.ท.จ๊าบ เพี่ยะกะได เป็น ผบ.พัน. กำลังพลประมาณ 1,600 นาย ก็ได้รับคำสั่งให้เสริมกำลังเข้ามาสนับสนุนภารกิจที่ชายแดนเขาพระวิหารบริเวณภูมะเขือนี้ด้วยเช่นกัน
ที่น่าจับตาเป็นพิเศษก็ต้องเป็น “กองพลน้อยรักษาความปลอดภัย 70" (รปภ.70) ซึ่งเดิมมี พล.อ.เฮิง บุญเฮง ที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฮุน เซน เป็น ผบ.พล. แต่ปัจจุบันบทบาทนี้ได้ถูกถ่ายเทมาที่ พล.ท.ฮุน มาเนต ลูกชายคนโตสมเด็จฮุน เซน ที่มีอายุเพียง 33 ปี ขึ้นมากุมบังเหียนควบคุมกำลังพล รปภ.70 ที่มีอยู่ราว 6,000 นายนี้แทน
ข่าววงในกองทัพกัมพูชา เปิดเผยว่านี่เป็นชนวนให้นายทหารรุ่นเก่าแก่ ที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จฮุน เซน มาไม่พอใจพล.ท.ฮุน มาเนต เป็นอย่างมากที่ข้ามหัวผู้ใหญ่มาควบคุมกำลังพลตรงนี้ และเป็นสาเหตุให้กองทัพกัมพูชาระส่ำระสายพอสมควร
นักรบ สังกัด “รปภ.70” นี้ได้รับฉายาว่า “นักรบกำเปรี๊ยะ” คือเป็นทหารที่ขึ้นตรงกับสมเด็จฮุน เซน โดยตรง เกือบทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายจากภัยสงคราม สมเด็จฮุน เซน ได้เก็บลูกกำพร้าเหล่านั้นมาชุบเลี้ยง ส่งเสียให้เรียนวิชาทหารและการรบทุกรูปแบบเพื่อมาทำหน้าที่อารักขาสมเด็จฮุน เซนและครอบครัวโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงพูดได้ว่าทหารพวกนี้พร้อมจะถวายชีวิตให้สมเด็จฮุน เซนได้ทุกเมื่อ
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดเผยว่า ภายหลังการเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระหว่างพล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยและ พล.อ.เจีย มอน แม่ทัพภูมิภาคที่ 4 พล.ท.สะรัย ดึ๊ก ผบ.พล.สสน.ที่ 3 ของกัมพูชา ที่ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ คล้อยหลังการเจรจาหยุดยิงไม่กี่ชั่วโมง เสียงปืนก็ดังขึ้นที่บริเวณภูมะเขือ อีกรอบ จากนั้นก็เปิดฉากปะทะด้วยปืนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายอย่างหนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์
คำถามว่า “ทำไม? กัมพูชาถึงล้มโต๊ะเจรจาอย่างนั้น” สรุปก็คือเป็นฝีมือของ “นักรบกำเปรี๊ยะ” ที่บัญชาการโดย พล.ท.ฮุน มาเนต นี่เอง แต่สำหรับนายทหารรุ่นเก่าแก่ เขารู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรบกับกองกำลังฝ่ายไทย เพราะมีแต่จะสูญเสียอย่างเดียว
สำหรับ พล.ท.ฮุน มาเนต ไม่คิดอย่างนั้น แต่เขากลับเติมเชื้อไฟสงครามด้วยการสั่งให้ “นักรบกำเปรี๊ยะ” ยิงยั่วยุฝ่ายไทยมาอย่างต่อเนื่องตามที่เป็นข่าว เพื่อต้องการให้ไทยเปิดฉากยิงโต้ตอบกลับไปให้เกิด “สงครามเต็มรูปแบบ” ขึ้นมาให้ได้ เหตุผลส่วนตัวคือต้องการโชว์ศักยภาพของตัวเองให้สมเด็จฮุน เซน ผู้เป็นบิดาเชื่อมั่นในความสามารถว่าจะควบคุมกองทัพสืบทอดอำนาจจากเขาได้ เหตุผลรองมาคือเมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว จะเรียกร้องความเห็นใจจากประเทศพี่ใหญ่ ว่าถูกไทยรังแก และเข้ามาสนับสนุนการสู้รบกับทหารไทย ขณะที่สมเด็จฮุน เซน ก็จะได้คะแนนเสียงจากการเลือกตั้งสมัยหน้าที่ใกล้จะถึงนี้อย่างท่วมท้น ที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่าอย่างไทยได้
วันนี้ ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องของทวิภาคีอย่างเดียวแล้ว แต่ได้ขยับไปถึงเวทีโลกแล้ว ภายใต้ข้อเรียกร้องของสหประชาชาติให้ทั้งสองประเทศหยุดยิงแล้วหันหน้ามาเจรจากันด้วยสันติวิธี แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงยั่วยุไม่หยุด ก็ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายไทยว่า จะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวนี้ไปได้นานเท่าไหร่
มนูญ มุ่งชู