
ยุทธนาวีซูสีไทเฮาสู่มังกรผงาดฟ้า(2)
ดิฉันยอมรับว่าประวัติศาสตร์จีนช่วงที่เกลียดเข้ากระดูกดำมากที่สุดจนไม่อยากอ่านหรือไม่อยากดูหนังดูละครก็คือประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ชิง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังพยายามเลี่ยงไม่ยอมดูหนังประเภท
"ศึกสองนางพญา", "ศึกสายเลือด", "นักชกจากชานตุง" หรือหนังชุดวีรบุรุษกู้ชาติ "ล้มชิง กู้หมิง" อย่าง หง ซีกวน, ปึง ซีเง็ก และหวง เฟยหง เพราะมีแต่การทรยศหักหลัง การสมคบคิดกับต่างชาติ ความพ่ายแพ้ของขบวนการรักชาติ การเสียสละ ความพลัดพราก การเสียดินแดน ฯลฯ
แม้กระทั่งหนังสือกำลังภายในเรื่อง "ตำนานอักษรกระบี่" และ "อุ้ยเสี่ยวป้อ" ของกิมย้ง ดิฉันก็หยิบอ่านไม่กี่ครั้งเอง ความคิดนี้เพิ่งจะมาเปลี่ยนไปตอนยอมดูละครจีนเรื่อง "องค์หญิงกำมะลอ" เพราะความน่ารักความใสซื่อของจ้าวเหว่ยเท่านั้น
เหตุนี้ระหว่างชมเมืองชิงเต่ากับเว่ยไห่ ได้เห็นสถานที่จริงที่ตอกย้ำถึงความอ่อนแอของราชวงศ์ชิงและการเสียสละชีวิตของผู้รักชาติ ใจจึงไม่ค่อยเป็นสุขนัก แม้ว่าจะประทับใจกับทิวทัศน์ที่แสนจะงดงาม จะมีก็แต่ยกเว้นการชม เมืองเอียนไถ และ เผิงไหล ตำบลเล็กๆ ในเขตเมืองเอียนไถ ซึ่งบันทึกโบราณกล่าวว่า หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ปราบ 6 แคว้นรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ได้เคยเสด็จมาที่เผิงไหล ดินแดนที่เชื่อว่าเป็นที่สถิตของเซียนวิเศษรวมไปถึงโป๊ยเซียนหรือแปดเซียน ถึง 3 ครั้งเพื่อเสาะหายาอายุวัฒนะ หวังจะมีอายุยืนยาวค้ำฟ้า แต่สุดท้ายก็หนีสัจธรรมไม่พ้น
ในอดีต เมืองเอียนไถ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแหลมชานตุง เคยเป็นหมู่บ้านประมงใหญ่ที่สุดเรียกว่า ซีฟู แปลว่า "หอคอยควัน" สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.1941 เพื่อส่งสัญญาณไฟเตือนว่าโจรสลัดญี่ปุ่นหรือที่หนังสือกำลังภายในของจีนหลายเล่มเรียกว่าสลัดเตี้ย กำลังมาบุกปล้นชิงทรัพย์สินและฉุดคร่าผู้หญิงอยู่บ่อยๆ โกวเล้งก็เคยเขียนถึงหลายเล่ม อย่างเรื่อง "นักสู้ผู้พิชิต" และ "เพชฌฆาตดาวตก" หรือ "ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่" ก่อนจะได้รับยกระดับเป็นเมืองท่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งแรกในชานตุงเมื่อปีพ.ศ. 2405 มีเนื้อที่ 1.37 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ติดทะเลหวงไห่ หรือทะเลเหลือง และทะเลป๋อไห่ยาวถึง 909 กิโลเมตร ถึงแม้มีทะเลกั้นอยู่ แต่จากเมืองเอียนไถ ก็ยังมองเห็นประเทศเกาหลีที่อยู่อีกฝั่งของทะเลได้
เมืองเอียนไถได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีทิวทัศน์งดงาม ลือเลื่องในเรื่องภูเขาและมหาสมุทร ถึงขนาดที่ ซัวตังปอ กวีเอกสมัยราชวงศ์ซ้องเคยเขียนกวีชมเมืองนี้ว่า "ท้องฟ้าและมหาสมุทรทางตะวันออกรวมเป็นหนึ่ง"
หลังจากยกระดับเป็นเมืองแล้ว ก็มีเรือมาจากทั่วทุกสารทิศรวมทั้งเรือจากต่างชาติเข้ามาค้าขายเป็นครั้งแรก ช่วงนั้น ชาวต่างชาติจาก 17 ประเทศ อาทิ สหรัฐ นอร์เวย์ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย และเดนมาร์ก เป็นต้น ได้ตบเท้าเข้ามาหาผลประโยชน์ในเมืองนี้และได้ตั้งสถานกงสุลบนเนินเขาสูงริมทะเลที่แสนสวยงาม อยู่ในชัยภูมิที่ถือว่าดีที่สุด สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลๆ โดยเฉพาะหากมีเรือโจรสลัดหรือเรือของศัตรูรุกล้ำเข้ามา
เช้าวันหนึ่งราวกลางเดือนพฤศจิกายน ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นแค่ 10 องศาต้นๆ ดิฉันและคณะนักข่าวไทยได้ไปเยี่ยมชมอดีตสถานกงสุลเหล่านั้น ซึ่งมีสถาปัตยกรรมอันงดงามตามแบบยุโรป สถานกงสุลบางแห่งอย่างของนอร์เวย์ได้สร้างรูปจำลองเงือกน้อยหันหน้าสู่ทะเลด้วย ส่วนสถานกงสุลสหรัฐก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงภาพของสงครามในช่วงต่างๆ อดีตสถานกงสุลบางแห่ง
กลายเป็นพิพิธภัณฑ์อุปรากรหรืองิ้วจีน ว่ากันว่าอุปรากรจีนที่เอียนไถนี้ถือว่าแสดงได้งดงามเป็นรองก็แต่งิ้วปักกิ่งเท่านั้น
พวกเรายังได้ชมป้อมโบราณของจีน ซึ่งสร้างคล้ายป้อมอลาโม่ของสหรัฐคือเป็นทรงสี่เหลี่ยม กอปรด้วยห้องเล็กห้องน้อยเชื่อมกันตลอด ตรงกลางเป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่เพียงต้นเดียวในป้อมโบราณแห่งนี้
ปัจจุบัน เมืองเอียนไถ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวใหญ่อันดับ 2 ของแหลมชานตุงรองจากซิงเต่า ได้รับยกย่องจากสหประชาชาติว่าเป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดและสะอาดที่สุด เนื่องจากไม่มีอุตสาหกรรมหนัก และอากาศดีมากเพราะอยู่ใกล้ทะเล
ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ยังคงเป็นเกษตรกรปลูกแอปเปิ้ลและองุ่น คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 8.3 หมื่นไร่ สามารถผลิตไวน์ได้ปีละกว่า 250,000,000 ลิตร หรือเท่ากับ 1 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั่วประเทศ จนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของจีน โดยเฉพาะ ไวน์จางอวี้ บริษัทไวน์จีนที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของบริษัทไวน์ใหญ่ที่สุดในโลก
สถานที่สุดท้ายในในมณฑลชานตุงที่พวกเรามีโอกาสเปิดหูเปิดตาก็คือ หมู่บ้านหนานซาน ที่หลงโข่ว หรือปากมังกร ซึ่งเริ่มสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2543 นี้เอง ภายใต้คำขวัญว่า "ความสำราญและความยั่งยืนในหนานซาน จากสวรรค์สู่ความสงบทางใจ"
หนานซานเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 4 ดาวแห่งแรกของจีน กำลังสร้างเป็นเมืองใหม่ที่น่าสนใจมาก เนื่องจากมาจากการระดมทุนของนักลงทุนภาคเอกชน โดยรัฐไม่เข้าไปมีส่วนร่วมแต่อย่างใด ภายในหมู่บ้านที่กำลังพัฒนาเป็นเมืองใหม่ มีทั้งส่วนที่เป็นที่พักของคนที่อพยพมาจากต่างถิ่นต่างเมือง เขตเกษตรกรรม อุตสาหกรรมซึ่งไม่ทำลายธรรมชาติ มีสนามกอล์ฟใหญ่ 27 หลุม รีสอร์ท สวนสัตว์ และเกาะหรรษา
สถานที่ท่องเที่ยวในหนานซานแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือ อารามเต๋า เพื่อแสดงประวัติทางศาสนาและวัฒนธรรมสมัยอาณาจักรจิ้นและราชวงศ์ถัง บนเนื้อที่ 1 หมื่นตารางเมตร ตั้งอยู่กลางเขาหลายลูก โดยเฉพาะการสร้างพระพุทธรูปบรอนซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 38.66 เมตร หนัก 380 ตัน ใหญ่กว่าที่ฮ่องกงเสียอีก บนเขาลูกหนึ่ง เรียกว่า หนานซานไต้ฮุด หรือ พระใหญ่แห่งหนานซาน
เพื่อให้พระพุทธรูปองค์นี้ทวีความศักดิ์สิทธิ์จะได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น จึงมีความพยายามสร้างตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปองค์นี้ว่าในวันเบิกเนตรเมื่อปี พ.ศ. 2547 นั้น มีรุ้งทอประกายเป็นรัศมีเหนือพระเศียรของพระพุทธรูปด้วย
ไม่ใกล้ไกลจากพระใหญ่แห่งหนานซานเป็นโบสถ์ใหญ่ ภายในประดิษฐาน พระพุทธรูปหยกขาว ที่ใหญ่ที่สุด สูง 13.66 เมตร หนัก 660 ตัน เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2543 โดยแกะสลักอย่างงดงาม รายล้อมด้วยมหาเทพและทวยเทพของฮินดูผสมจีน ตั้งแต่พระพรหม พระอินทร์ พระพิฆเนศ พระแม่อุมา พระลักษมี นับร้อยๆ องค์
นอกจากนี้ ยังกำลังบูรณะและก่อสร้างพุทธศาสนสถานบนเนื้อที่ 4 หมื่นตารางเมตร รวมทั้งบูรณะน้ำพุดนตรี ซึ่งสายน้ำจะฉีดไปที่พระพุทธรูปที่จะหันไปรอบทิศอย่างช้าๆ เชื่อว่าสร้างในสมัยราชวงศ์ถัง บริเวณนี้ยังมากด้วยศิลปวัฒนธรรมแบบจีนโบราณและศิลปะทิเบตอีกด้วย
อีกจุดหนึ่งที่กำลังก่อสร้างก็คือส่วนที่เป็นสวนสนุกและแหล่งท่องเที่ยวตลอดแนว 20 กิโลเมตรของอ่าวป๋อไห่ โดยมีการถมทะเลบางส่วน ทะเลนี้ดิฉันฝังใจมานานนับตั้งแต่อ่านหนังสือ "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ของหวงอี้ บรรยายฉากช่วงที่ชนเผ่าต่างๆ รวมทั้งชนเผ่าบรรพบุรุษของแมนจูต่างทำสงครามกลางทะเลทรายอย่างดุเดือดเพื่อช่วงชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้
ใกล้ๆ กับหนานซานก็คือตำบลเผิงไหล ซึ่งได้รับสมญาว่า “สวรรค์บนดิน” ตามตำนานเล่ากันว่า เป็นสถานที่ที่แปดเซียน หรือโป๊ยเซียนได้นัดพบกันและแข่งกันข้ามทะเลไปยังญี่ปุ่น จนเป็นที่มาของ เผิงไหลเก๋อ หรือ แปดเซียนข้ามสมุทร แต่จริงๆ แล้วข้ามสมุทรแค่ 7 คนเท่านั้น ยกเว้นฮ้อเซียนโกว เทพสตรีเพียงองค์เดียวใน 8 เซียน ที่ไม่ยอมเหาะเหินไปด้วยเนื่องจากรังเกียจที่เห็นญี่ปุ่นเป็นดินแดนที่กดขี่ผู้หญิง
8 เซียนในจีนจึงเหลือแต่ 7 เซียนเมื่อถึงแดนซามูไร เป็นอันคลายความสงสัยที่ค้างใจดิฉันมานานหลายปีว่าทำไมญี่ปุ่นจึงมีแค่ 7 เซียนเท่านั้น แถมต่อมายังมีการดัดแปลงเป็นภาพยนต์เรื่อง "7 เซียนซามูไร" อีกด้วย
เสียดายที่ดิฉันไม่ได้ไปชมหอแปดเซียน ทรงแปดเหลี่ยม สูง 15 เมตร ซึ่งว่ากันว่างามนัก สร้างขึ้นในสมัยเป่ยซ่ง หรือซ่งเหนือ ก่อนจะได้รับการต่อเติมในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ภายในประดิษฐานแปดเซียนและเทพเจ้าอีกหลายองค์ เพราะมัวแต่ดูสถานที่ที่นักข่าวควรชมเพราะมีแต่เรื่องสงครามและสงคราม
แต่พวกเราก็ยังโชคดีได้ไปชมเมืองโบราณขนานแท้ รายล้อมด้วยแนวกำแพงยาวคล้ายกำแพงเมืองจีนที่ทอดยาวตลอดแนวชายฝั่ง ภายในกอปรด้วยหมู่เรือนโบราณแบบจีนแท้สมัยราชวงศ์ซ้องและราชวงศ์ถัง บางหลังเป็นที่เก็บลายมือของซัวตังปอ กวีเอกสมัยราชวงศ์ซ้อง ทั้งลายมือยามที่ยังไม่ร่ำสุรากับลายมือยามเมามาย ซึ่งต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางหลังเป็นที่ประดิษฐานของเทพศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงโป๊ยเซียน ซึ่งเป็นเทพที่คนในแถวนี้ให้ความเคารพนับถือมากที่สุด
จากเมืองเอียนไถ พวกเราได้ขึ้นเรือสินค้าลำใหญ่ไปยังเมือง ต้าเหลียน หรือหลิวต้า มณฑลเหลียวหนิง บริเวณใต้สุดของคาบสมุทรเหลียวตงในทะเลเหลือง โอบล้อมด้วยอ่าวป๋อไห่ เมืองนี้เพิ่งฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ 2542 เรือสินค้าที่เราโดยสารนั้นเป็นเรือสินค้าลำสุดท้ายของปีนี้ที่จะมุ่งหน้าไปต้าเหลียน ขณะที่เรือท่องเที่ยวได้หยุดการให้บริการก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากเริ่มเข้าฤดูหนาวไม่อาจล่องเรือได้
ดิฉันเพิ่งรู้ว่าในบางครั้ง ภาษิตจีนที่ว่า "มีเงินก็จ้างผีโม่แป้งได้" นั้นใช้ไม่ได้เสมอไป เพราะพวกเราต้องขนกระเป๋าซึ่งแต่ละใบแสนจะหนักอึ้งขึ้นบันไดเรือที่ทั้งแคบและสูงชันเอง เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ แม้จะตีตั๋วชั้นวีไอพีราคาราว 2,000 บาทต่อคนก็ตาม ห้องที่จองไว้เป็นห้องเล็กมากมีเตียง 2 ชั้นสำหรับ 4 คน ภายในห้องแสนจะร้อน แต่ก็ยังดีกว่าปะปนกับคนจีนที่ตีตั๋วราคาถูกและยึดพื้นที่แถวบันไดเป็นที่พักผ่อน ทั้งที่เล่นไพ่สูบบุหรี่คลุ้งไปหมด หรือปูเสื่อนอนระเกะระกะไปทั่ว
พวกเราจึงยกขบวนไปนั่งเล่นที่ดาดฟ้าซึ่งสกปรกไม่แพ้กัน ดีตรงที่อากาศเย็นสบายและได้ชมวิวทะเลอันกว้างใหญ่ เนื่องจากจีนได้ใช้เวลาเดียวกันทั่วประเทศไม่ว่าพื้นที่จะห่างไกลแค่ไหน ดังนั้น ท้องฟ้าจึงมืดค่ำเร็วมาก พระจันทร์ลอยสูงทั้งๆ ที่ยังไม่ถึง 6 โมงเย็น อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นหนาวยะเยือกจนต้องเพิ่มเสื้อหนาว ถุงมือและถุงเท้า ไม่เช่นนั้นอาจแข็งตายได้
ต้าเหลียนเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของแดนมังกรติดต่อกันหลายปีก่อนจะเสียแชมป์นี้ไป กระนั้นก็ยังคงความเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การพาณิชย์ การคมนาคมและการท่องเที่ยว สมกับฉายาว่า "ฮ่องกงของจีนภาคเหนือ" ต้าเหลียนยังเป็นเมืองแรกในประเทศนี้ที่ได้รับรางวัล "โกลบัล 500" จากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติเมื่อปีพ.ศ 2544 ในฐานะที่มีสภาพแวดล้อมยอดเยี่ยม ปลอดภัย เหมาะกับการพักอาศัยมากที่สุด นอกจากนี้ยังได้รางวัล "อินเตอร์เนชั่นแนล การเด้น ซิตี้" หรือ "นครสวนระหว่างประเทศ" จากสหประชาชาติ อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สะอาดและอากาศดีที่สุดในจีนตอนเหนือด้วย
เมืองเอกก็คือเมืองเสิ่นหยาง ตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นถิ่นของแมนจู มีเสียงเล่าลือกันว่าเป็นดินแดนของผู้หญิงสวยผู้ชายหล่อที่สุด เท่าที่สังเกตก็ค่อนข้างเป็นจริงตามที่ว่า โดยเฉพาะเมื่อได้พบชายในฝันเหมือนฉีจื่อหลิง ตัวเอกในเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ไม่มีผิด เพราะรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวนวล แถมมีลักยิ้มอีกด้วย
พวกเราถือว่าโชคดีมากที่ได้มาถึงต้าเหลียนในตอนค่ำ เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น พายุก็เริ่มกระหน่ำ ท้องฟ้ามืดครึ้มอากาศเย็นจัด ลมพัดแรงจนเดินเซตึงๆ ไปตามๆ กัน ระหว่างเดินชมฐานทัพเรือ หลี่ซุ่น เนื้อที่ 506 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีชัยภูมิที่ดีมาก 3 ด้านเป็นทะเล 1 ด้านเป็นแหลม เหมาะเป็นฐานทัพเรือทางธรรมชาติ นอกจากน้ำไม่จับแข็งเป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปีแล้ว ยังมองเห็นทั้งทะเลเหลือง แต่น้ำกลับเป็นสีฟ้าและทะเลป๋อไห่ซึ่งน้ำเป็นสีเหลืองในคราวเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเป็นภูเขาเหลาเจี่ย ซึ่งเป็นภูเขาสูงที่สุดเหนือระดับน้ำทะเลราว 455 เมตร
บริเวณฐานทัพเรือยังเป็นช่องแคบกว้างแค่ 202 เมตร ยิ่งตรงทางเข้าฐานทัพกว้างแค่ 8 เมตร เรือรบสามารถเข้าออกได้ทีละลำเท่านั้น เปรียบได้กับชัยภูมิที่เป็นช่องแคบบนภูเขา สามารถใช้ทหารคนเดียวเฝ้าด่านยันทหารทั้งกองทัพได้ ดังปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนศึกตระกูลหยาง" เป็นต้น
แต่ชัยภูมินี้ก็มีทั้งดีและเสีย ดีคือต่างชาติยากเข้ามายึดครองฐานทัพนี้ ข้อเสียก็คือถ้าถูกล้อมแล้วเรือรบก็ยากจะฝ่าออกมาได้ โดยผู้ที่คิดแผนทะลวงจุดแข็งนี้ก็คือญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ใช้แผนปิดล้อมด้วยการจมเรือรบปิดช่องแคบนี้จนเรือเข้าออกไม่ได้
ดิฉันชมฐานทัพหลู่ซุ่นด้วยความเศร้าหมองในความอ่อนแอของจีนสมกับฉายายักษ์ป่วยแห่งเอเชียแล้ว ก่อนจะไปชมคุกที่รัสเซียกับญี่ปุ่นผลัดกันยึดครองและขยายคุกให้ใหญ่ขึ้นสำหรับคุมขังและทรมานนักโทษซึ่งเสียชีวิตนับพันนับหมื่นคน ดิฉันเลยเดินไปสวดสัพเพสัตตาไป
ก่อนจะแสวงหาความสุขทางใจกับอาหารฮ่องเต้สุดเลิศรส ทั้งปลิงทะเลหนามที่หากินได้ยากตัวละร่วมพันบาท กุ้งมังกร ปูขน ฯลฯ
ญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์