
เอกซเรย์ขุมกำลังเขมรภาวะเผชิญหน้า
ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการเจรจาของรัฐบาลทั้งสองฝ่ายที่ยืดเยื้อจนนำไปสู่การปะทะกัน ในช่วงบ่ายวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่บริเวณภูมะเขือ ด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหาร
โดยระดมยิงทั้งปืนใหญ่และอาวุธนานาชนิดเข้าใส่กันอย่างต่อเนื่อง จนทำให้พื้นที่ในส่วนของบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ อยู่ในสถานการณ์ของการเป็นพื้นที่ "กระสุนตก" ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ ทั้งชาวบ้านและทหาร
หลังจากที่มีการปะทะกันที่ภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ทหารกัมพูชาก็มีการขนกำลังเข้ามาตรึงพื้นที่ในช่วงเวลากลางคืน โดยตั้งกองกำลังอยู่บริเวณบ้านกู่ ต.บันเตีย อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ตั้งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม 10 กิโลเมตร ประมาณ 1 กองร้อย และทางด้านบริเวณปราสาทจาน ต.บันเตีย อ.สำโรง มีกองกำลังทหารกัมพูชารวม 50 นาย ซึ่งทหารกัมพูชาส่วนใหญ่จะติดอาวุธปืนประเภท เอ็ม 79 อาร์พีจี ปืน ค. และปืนเอชเค โดยมี พ.อ.เนีย วง รอง ผบ.พล.กองพลน้อย 42 เป็นผู้บัญชาการ ซึ่งมีกองกำลังที่อยู่ใต้บังคับบัญชา 3 กองพัน คอยดูแลเขตพื้นที่แนวชายแดนรอยต่อกัมพูชา-ไทย บริเวณ อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ฝั่งตรงกันข้ามปราสาทตาเมือนธม และตาความ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์
ขณะเดียวกัน หลังจากที่มีการปิดด่านชายแดนถาวรช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พบว่า ทหารกัมพูชามีการเคลื่อนไหวห่างออกไป 5 กิโลเมตร ที่บริเวณเชิงเขาจังกาเจก ต.โอร์เสม็ด อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ช่วงค่ำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ทหารกัมพูชาขนอาวุธปืนหนักโดยใช้รถปิกอัพ 3 คัน รถยีเอ็มซี 1 คัน กองกำลังทหาร 4 คันรถยีเอ็มซี มาสมทบกับกองกำลังที่มีอยู่บริเวณเชิงเขาจังกาเจก โดยมี พ.ท.ตอน เยียน หัวหน้าหน่วยป้องกันชายแดน 402 (นปชด.402) มีกองกำลัง 2 กองร้อย หรือกว่า 180 นาย ปักหลักอยู่ที่เขต 13 อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ฝั่งตรงกันข้าม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
สำหรับผู้ที่นำทัพกองกำลังทหารในภูมิภาคที่ 4 คือ พล.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบพื้นที่ จ.พระวิหาร-จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และเป็นผู้บัญชาการ ส่วนที่บริเวณระหว่างช่องจุ๊ปโกกี จ.อุดรมีชัย-ช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ มี พ.ต.กวง สุดิน ผบ.พัน.702 เป็นผู้รับผิดชอบนำกำลังทหารกัมพูชากว่า 100 นาย เข้าไปตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวพร้อมกับอาวุธหนักอาร์พีจี ปืนใหญ่ และบีเอ็ม 21
ส่วนที่ ต.โคกมอน อ.มันเตียอำปัญ จ.อุดรมีชัย ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา 2 กิโลเมตร ฝั่งตรงข้ามกับช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ มี พ.อ.ม๊อก สุริจราณ ผบ.จังหวัดอุดรมีชัย เป็นผู้ควบคุมและกำกับดูแล โดยมีกองกำลังทหารจำนวน 200 นาย พร้อมอาวุธปืน ป.130 อาร์พีจี ปรส.75 ซึ่งเป็นปืนสำหรับยิงเครื่องบินขับไล่ ปืนใหญ่ บีเอ็ม 21 และบีเอ็ม 40 เข้าประชิดแนวชายแดน ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมี พ.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคที่ 4 มีอำนาจในการสั่งปฏิบัติการทั้งหมด
“จุดที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทย-ทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ ซึ่งอยู่ห่างจากทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหาร 4 กิโลเมตร โดยยุทธศาสตร์การตั้งฐานของกัมพูชา มีอยู่สองจุดยุทธศาสตร์ใหญ่ คือ บริเวณบ้านสวานจะรูง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาทพระวิหาร 6 กิโลเมตร และจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของกัมพูชา ที่กระสุนปืนใหญ่ของไทยไม่สามารถโจมตีได้ เพราะกระสุนของไทยเข้าไม่ถึง ซึ่งถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่กัมพูชาได้เปรียบมาก จุดดังกล่าวตั้งอยู่ที่บ้านโกมุย ทิศใต้ของปราสาทพระวิหาร 2 กิโลเมตร ทั้ง 2 จุด กัมพูชาได้ขนปืนยิงจรวด 30 ลำกล้อง หรือที่เรียกกันว่า บีเอ็ม 40 ซึ่งเป็นปืนของรัสเซียเข้ามา” แหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยให้ข้อมูล
ด้านสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ ต.ไทยพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ พบว่า มีทหารมากกว่า 3-4 กองร้อย หรือกว่า 300 นาย ปักหลักอยู่บริเวณฐานเขมรแดงเก่า หรือโอทะมอ มีอาวุธปืนอาร์พีจี และอาก้า
ส่วนฐานที่มั่นใหญ่ ที่จะเป็นกำลังหนุนห่างจากชายแดนไทย 20 กม. ตั้งอยู่บริเวณโอกะกีกันดาน อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย จะมีอาวุธหนัก อาทิ รถถัง ปืน ค. และกำลังทหารจำนวนกว่า 400 นาย คอยเป็นกำลังหนุน โดยพื้นที่ดังกล่าวหากมองวิเคราะห์ในแง่ของการสู้รบ ทางไทยจะได้เปรียบเพราะเป็นเขาสูง หากมีการโจมตีเกิดขึ้น กัมพูชาจะรบได้เพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือการยิงปืนใหญ่เข้ามา ตรงกันข้ามกับไทยที่มีฐานที่มั่นอยู่ที่ด่านระกา ต.ไทยพัฒนา อ.ภูสิงห์ ซึ่งจะตอบโต้ได้ในหลายรูปแบบ
นี่คือภาพรวมของการจัดวางขุมกำลัง หลังกระสุนนัดแรกถูกยิงขึ้น
ชยานนท์ ปราณีต