ข่าว

แฉเขมรฉุนไทยขวางทำถนนสั่งปลดธง

แฉเขมรฉุนไทยขวางทำถนนสั่งปลดธง

06 ก.พ. 2554

แล้วสิ่งที่คนตามแนวชายแดนด้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กลัวจะเกิดขึ้นมากที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อทหารไทยและกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธหนักยิงเข้าใส่กันอย่างดุเดือดนับร้อยลูก เมื่อช่วงเย็นวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

ท่ามกลางคำถามที่ยังต้องค้นหาคำตอบว่า ใครเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน และยิงเพื่อหวังผลอะไร !?

 วงในกองทัพเผยว่า จุดเริ่มต้นของการปะทะเดือดเกิดจากการที่ทหารไทยประมาณ 50 นาย เข้าไปขัดขวางไม่ให้ทหารกัมพูชาสร้าง "ถนน" เพื่อใช้เป็นทางลงจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งตามเอ็มโอยูปี 2543 ระบุว่า ไม่ให้มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติม

 หลังจากนั้นก็เริ่มมีบรรยากาศความตึงเครียดเพิ่มขึ้น เมื่อฝ่ายไทยยืนกรานให้ฝ่ายกัมพูชา "ปลดธงชาติกัมพูชา" ลงจากวัดแก้วฯ เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงที่จะไม่มีการอ้างสิทธิครอบครองในระหว่างที่การเจรจาปักปันเขตแดนยังไม่ได้ข้อยุติ

 จากเงื่อนไขที่ไม่ยื่นทางถอยให้แก่กันดังกล่าว ทำให้กัมพูชาเริ่มระดมยิง "ปืนใหญ่" ห่างจากปราสาทพระวิหารและวัดแก้วฯ ไปทางตะวันตกประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ รวมทั้งบริเวณโดยรอบเขาพระวิหาร ก็มีการระดมยิงปืนใหญ่และอาวุธนานาชนิดเข้ามายังฝั่งไทยเช่นกัน

 น่าสังเกตว่า กระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาที่ตกเข้ามาในฝั่งไทยส่วนใหญ่จะตกในเขตบ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มากกว่าจะไปตกยังฐานทหารไทยที่อยู่ในป่า ทั้งที่ทหารกัมพูชารู้สภาพภูมิประเทศ และจุดที่ตั้งของพลเรือน และฐานทหารเป็นอย่างดี

 กลายเป็นคำถามที่แหลมคมอย่างยิ่งว่า ถ้าทหารกัมพูชารู้อยู่ว่า พิกัดไหนเป็นที่ตั้งของฝ่ายพลเรือน พิกัดไหนเป็นที่ตั้งทางการทหาร เหตุใดจึงปล่อยให้อาวุธร้ายแรงตกใส่หลังคาบ้านชาวบ้านนับร้อยนัดเช่นนี้

 จุดที่น่าสนใจอีกจุด คือ บนปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วฯ มีทหารพรานชุดประสานงานไทย-กัมพูชา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 5 นาย ก็ถูกทหารกัมพูชาควบคุมตัวไว้ด้วย

 การจับกุมทหารไทยของกัมพูชาทำให้เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า กัมพูชาจงใจเล่นเกมการเมืองระหว่างประเทศให้ซับซ้อนขึ้นอีกระดับหรือไม่ เพราะเงื่อมปมในการจับกุม 7 คนไทยคราวก่อนก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายมาจนถึงทุกวันนี้

 อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมี 2 ด้านฉันใด แง่มุมของเหตุปะทะเดือดครั้งนี้ก็มี 2 ด้านเช่นกัน โดยสถานีโทรทัศน์ซีพีเอ็นของกัมพูชา รายงานว่า ทหารไทยรุกล้ำเขตแดนเข้ามาฝั่งกัมพูชาหลายจุด และทหารไทยเป็นฝ่ายที่เปิดฉากยิงเข้าใส่ทหารกัมพูชาก่อน

 แต่รถถังของทหารไทยถูกยิงเสียหาย 2 คัน สามารถจับทหารไทยได้ 5 นาย โดยทหารไทยที่ประจำแนวชายแดนบางจุดได้ขอเข้ามอบตัวต่อทหารกัมพูชาด้วย

 ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แย้งว่า มีการยิงกระสุนปืนใหญ่จากบนปราสาทพระวิหารมาตกที่ผามออีแดง ก่อนที่ฝ่ายไทยจะยิงเตือนกลับไป และเกิดการยิงปะทะกันไปมา

 โดยจุดที่มีการปะทะกันอยู่ห่างปราสาทพระวิหารไปด้านละประมาณ 5 กม. ซึ่งกำลังพลฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากสะเก็ดกระสุนอาร์พีจี จำนวน 2 นาย

 จากนั้นผู้บังคับบัญชาฝ่ายไทยจึงประสานผู้บังคับบัญชาฝ่ายกัมพูชาจนมีการหยุดยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่ แต่ยังมีการยิงปะทะกันประปรายด้วยกระสุนปืนเล็กในเวลาต่อมา

 ส่วนทหาร 5 นายที่ถูกควบคุมตัวไป พ.อ.สรรเสริญ ระบุว่า เป็นทหารที่จุดประสานงานที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ จึงน่าสังเกตว่า เหตุใดจึงมีการจับกุมทหารไทย และแสดงว่า กัมพูชารู้ก่อนหรือไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น

 พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เรื่องนี้ที่จริงไม่อยากขยายความว่าใครเป็นฝ่ายยิงใครก่อน เพราะอาจทำให้เป็นประเด็นขึ้นมาได้ แต่ยืนยันว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาเราไม่เคยเป็นฝ่ายที่เริ่มยิงก่อน แต่จะมีการตอบโต้แบบสมน้ำสมเนื้อเพื่อการรักษาอธิปไตยของชาติ

 อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า สุดท้ายปัญหาก็ต้องไปจบที่โต๊ะเจรจา เพราะการใช้กำลังไม่ใช่ทางออกของปัญหา

 มีรายงานที่น่าสนใจอีกชิ้นว่า ก่อนการปะทะเดือดในเวลา 15.00 น.ประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อเวลา 13.20 น.ฝ่ายกัมพูชาได้มีการเสริมกำลังพล และอาวุธหนักไว้พร้อมสรรพแล้ว คล้ายมีการเตรียมการณ์มาล่วงหน้าว่า เขาพระวิหารจะกลายเป็นสมรภูมิ

 โดยจุดที่ทหารกัมพูชาเร่งเสริมกำลังเข้าไปอย่างผิดปกติอยู่ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ฐานปฏิบัติการเก่าของ ตชด.ที่ภูมะเขือ บ้านซำเบง ต.ภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

 ส่วนผู้บัญชาการรบของฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.อ.กวน กิม รอง ผบ.ทบ.สส. พล.อ.ชิน จันเปือ ผบ.สมรภูมิที่ 3 พล.ต.โป เฮง ผบ.ฉก.ภาค 4 และ พล.ต.แปน โวย ผบ.พล.น้อยที่ 42 พร้อมกำลังพลสังกัด ตชด.702 มาประจำการอยู่ที่ จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา

 นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า บริเวณใกล้ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ห่างจากตัวปราสาทประมาณ 500 เมตร ก็มีการเสริมกำลังพล และอาวุธหนักจากฝ่ายกัมพูชาอย่างผิดปกติเช่นกัน

 บริเวณดังกล่าวมีกำลังทหารกัมพูชาประมาณ 100 นาย พร้อมรถถัง จำนวน 20 คัน ปืนขนาด 40 ลำกล้อง จำนวน 6 ชุด พร้อมอาวุธประจำกายเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึก

 แหล่งข่าวในพื้นที่แจ้งอีกว่า ทหารกัมพูชาตั้งใจจะเข้ายึดปราสาทตาควาย และตาเมือนธม ให้ได้ภายในคืนวันที่ 4 กุมภาพันธ์

 ขณะที่กำลังฝ่ายไทย กำลังจากกรมทหารพรานที่ 26 สังกัดกองทัพภาคที่ 2 ก็เตรียมพร้อมรับมือตลอด 24 ชั่วโมง

 น่าสนใจว่า แนวรบจุดที่ 2 จะปะทุขึ้นใกล้ปราสาทตาเมือนธม-ตาควาย เพิ่มเติมจากแนวรบเขาพระวิหารหรือไม่ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ เหตุใดเขมรจึงตั้งใจที่จะเปิดสงครามกับไทย สังเกตได้จากการเตรียมกำลังมาล่วงหน้า

 คล้ายต้องการจะ "ท้ารบ" เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง...มากกว่าการ "เตรียมกำลัง" เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติตามปกติธรรมดา
 
ทีมข่าวความมั่นคง