
ลั่นเลี่ยงไม่ได้ทหารไทยปะทะเขมร
ประยุทธ์ลั่นเหตุทหารไทยปะทะเขมรเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่รับปากจะมีเหตุปะทะอีกหรือไม่หากยังยั่วยุอยู่ แนะเลิกโทษใครยิงก่อน เผยไม่มีทหารไทยถูกเขมรจับ "กษิต"เตือนสติยูเนสโกให้ดูสภาพความเป็นจริง
(4ก.พ.) เมื่อเวลา 21.00 น. ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ว่า ขณะนี้สถานการณ์ยุติลงแล้วตั้งแต่เวลา 18.00 น โดยทั้งสองฝ่ายหยุดปะทะกันและอยู่ในความสงบ ซึ่งตลอดเวลาที่เกิดการปะทะกันตั้งแต่เวลา 15.15 น. มีการพูดคุยกันตลอด แต่ก็เข้าใจว่าเมื่ออยู่ในสนามรบค่อนข้างยากที่จะติดต่อกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราไม่อยากโทษว่าใครเริ่มก่อน เพราะจะไม่จบ คิดว่าต่างฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเอง ขณะนี้ยังไม่ทราบการสูญเสีย แต่ฝ่ายเราบาดเจ็บเล็กน้อย และมีประชาชนทีได้รับบาดเจ็บเพราะมีกระสุนปืนใหญ่บางนัดตกเข้ามาในฝั่งไทยหลังแนวเขาพระวิหาร ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่มีทหารถูกทางการกัมพูขาจับกุมตัวไป อย่างไรก็ตามกำลังทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กัน และแนวปะทะอยู่ห่างกันไม่กี่เมตร ดังนั้นอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา อาจจะเกิดจากความเข้าใจผิดกันก็ได้ อย่าลืมว่าอยู่ในสนามรบกดดัน ดังนั้นเวลามีอะไรผิดปกติขึ้นมาก็แน่นอนว่าจะมีคนที่ทำให้เป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดเหตุขึ้นมาได้ แต่เราพยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เราไม่ได้ถอนกำลังทหารไปไหน กำลังทหารมีอยู่ทั้งแนวจากซ้ายไปขวา ตั้งแต่เขาพระวิหารไปยังภูมะเขือ ส่วนทหารกัมพูขาก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา ส่วนกรณีที่กัมพูขาจะมีการฟ้องร้องไปยังองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่าไทยรุกล้ำชายแดนกัมพูชานั้น ก็ว่ากันไป เมื่อเราประท้วงเขาได้ เขาก็ประท้วงเราได้ทั้งสองฝ่ายอยู่อย่างเท่าเที่ยมกันจะต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ทั้งนี้เราจะต้องหาทางเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาอีก ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกหรือไม่จะต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้คงไม่ต้องมีการเสริมกำลังทหาร เพราะขณะนี้มีกำลังเยอะอยู่แล้ว อยากไปทบทวนดูว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อะไรกันบ้าง อย่างไรก็ตามเราไม่ได้ทำการยิงไปยังตัวประสาท เพราะถ้ายิงไปก็จะทำให้เสียหาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราได้สั่งไปยังกองทัพภาคที่สองแล้วว่า เราจะต้องป้องกันตัวเอง ส่วนการปะทะก็จะต้องทำให้สงบโดยเร็ว ประชาชนทหารต้องไม่มีการบาดเจ็บสูญเสีย แต่เราก็ได้มีการเตรียมหลุมบุคคลรวมถึงแผนอพยพประชาชนแล้ว โดยขณะนี้ได้อพยพคนไปที่อ.กันทรลักษณ์ เพราะหากอยู่ตามแนวชายแดนจะทำให้เกิดอันตราย อย่างไรก็ตามต้องมีการพูดคุยกันในระดับข้างบน ซึ่งขณะนี้รมว.กลาโหมได้พูดกับผู้นำของกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตร์ทราบเหตุการณ์เป็นอย่างดี และได้สั่งการว่า ต้องทำให้สถานการณ์สงบโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย
"ผมตอบไม่ได้ว่า เหตุการณ์จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เพราะตราบใดที่มีการยั่วยุกันอยู่ก็พร้อมเกิดเหตุการณ์ได้ตลอดเวลา ส่วนจะมากขึ้นหรือน้อยลงไม่แน่ใจ แต่ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบ ผมจะพยายามทำไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงและพยายามป้องกันทหารเราไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ และดูแลประชาชนให้ปลอดภัย ซึ่งเรามีการเตรียมแผนการไว้ทุกอย่าง ทั้งนี้ถ้ามีการรบกันจะต้องมีการเตรียมยานพาหนะ หรือเส้นทางการเคลื่อนย้าย ซึ่งกองทัพเตรียมแผนการไว้หมด ถ้ารบกันโดยไม่มีการวางแผน แต่สั่งไปเรื่อยๆ อยากจะรบก็รบ จะทำให้เกิดการตายและบาดเจ็บมากกว่านี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสูญเสียทั้งสองฝ่าย หากไม่มีการคุยกันก็จะยิงกันไม่เลิก ดังนั้นต้องพูดคุยกัน ต่างคนจะได้หยุด ซึ่งเรามีทหารฝ่ายละ 5 คนในการเจรจาประสานงาน ใครอยากรบมาที่เขาพระวิหารเลย และเราอยู่ตอนที่เขายิงปืนใหญ่กัน ” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทหารกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพไทยทำหน้าที่สมศักดิ์ศรีไม่มีใครล่วงล้ำซึ่งกันและกันได้ เราใช้กำลังทุกส่วนทั้งทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ และทหารช่าง หากทหารไทยไม่ทำอะไรเลยอาจเจ็บและตายมากกว่านี้ก็ได้ อย่าไปโทษว่าใครยิงก่อนหรือหลัง เพราะต้องขึ้นอยู่กับการสอบสวน ทั้งนี้อย่าไปตื่นเต้น เพราะเป็นทหารอย่าตื่นเต้น หากตื่นเต้นรบไม่ได้ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้บัญชาการรบเอง ที่ผ่านมาเราหลีกเลี่ยงโดยตลอด แต่วันนี้สถานการณ์หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะหยุดก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้
“ขณะนี้พื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีใครเสีย ใครได้ และเขาพระวิหารยังไม่ได้บอกว่าเป็นของใคร ขณะนี้ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้างเป็นเจ้าของ เขาจะฟังเรา หรือเราต้องฟังเขา แต่จะบอกว่า เรายกให้เขาแล้ว หรือเรายอมรับเขาคงไม่ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับกลวิธีของการดำเนินการ โดยเฉพาะการเจรจาปักปันเขตแดนของคณะกรรมการเจบีซี กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาล ทั้งนี้เชื่อว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้ และยิ่งมีการปะทะกัน ยิ่งขึ้นทะเบียนไม่ได้ใหญ่ เพราะคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นอยู่กับหลายประเทศ และต้องดูว่า ดินแดนที่จะขึ้นมรดกโลกมีปัญหาหรือไม่ มีความขัดแย้งหรือไม่ ยิ่งมีกำลังทหารรบกันอย่างนี้ยิ่งไม่ได้ ถ้าเราใช้กำลังจนเกินเหตุจะกลายเป็นว่า เราใช้กำลังแรงกับเขามากเกินไปหรือไม่ และยิ่งมีการบาดเจ็บล้มตาย จะกลายเป็นเราประเทศใหญ่ไปดำเนินการกับประเทศที่เล็กกว่าเราหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ แต่เราให้เกียรติเขาเสมออยู่พื้นฐานเท่าเทียมกัน ผมไม่เคยดูถูกประเทศไหนในอาเซียนด้วยกัน ไม่ว่า ประเทศเล็กหรือใหญ่เราก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เราจะต้องเตือนทุกคนอะไรที่เป็นสุ่มเสี่ยงต่อการให้เกิดปัญหาต่อประเทศเพื่อนบ้าน และทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาควรจะยุติ อยากให้คนส่วนใหญ่ช่วยพูดว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป ควรจะมีเหตุผล วันนี้ทหารทำเต็มที่ ขณะนี้ทหารอยู่ตลอดแนวชายแดน เพราะเหตุการณ์สามารถเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ หากเราพูดจากันไม่รู้เรื่อง ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะชุมนุมใหญ่เพื่อยกระดับการชุมนุมว่า ก็เชิญชุมนุม เปิดเกมส์ไปเรื่อยๆ จะได้มีงานทำเยอะดี ผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้ไม่เหงา สื่อมวลชนไปบอกเขาเลิกสิ ไปบอกให้เขาเลิกได้หรือไม่ หากไม่หยุดก็เป็นแบบนี้ ชายแดนก็เกิดปัญหา กรุงเทพก็เกิดปัญหา การเมืองไม่มีเสถียรภาพ
“ไม่รู้ว่า พวกท่านจะเอาอะไรกัน แล้วกล่าวหาว่า ทหารเตรียมปฏิวัติ สรุปว่า ให้แตกกันให้หมดทั้งประเทศ แล้วท่านจะไปอยู่ตรงไหนก็แบ่งข้างกันไป ผมขอเป็นทหารปกป้องประเทศชาติ สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทหารจะอยู่ตรงนี้ใครจะอยู่กับทหารก็มา ใครจะไปอยู่กับพวกใครก็ไป เอาอย่างนั้นจะดีไหม สื่อต้องช่วยพูดกับเขา ต้องช่วยแก้ ขอร้องเขาได้ไหม ถ้าถามผมว่า จะหยุดเขาได้หรือไม่ ผมห้ามเขาไม่ได้ ผมโดนด่าอยู่ทุกวันเรื่องอะไรยังไม่รู้ เห็นใจผมบ้างหรือเปล่า ” ผบ.ทบ.กล่าว
"กษิต"เตือนสติยูเนสโกให้ดูสภาพความเป็นจริง
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 21.45 น. นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ ภายหลังเดินทางกลับจากการประชุมคณะกรรมาธิการความร่วมมือทวิภาคี(เจซี)ไทย-กัมพูชา ถึงเหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า ขณะที่เกิดเหตุการณ์ยิงปะทะกันตนยังอยู่ที่กรุงพนมเปญ โดยตน และนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ได้โทรศัพท์คุยกันขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดยิง โดยตน ยังได้ติดต่อกับ พล.อ.ประวิตร รมว.กลาโหม อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เรื่องอะไรก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับปราสาทเขาพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อน เป็นเรื่องอ่อนไหว และยังเป็นเครื่องเตือนสติยูเนสโก ให้มองดูถึงสภาพภความเป็นจริง อีกทั้งเราต้องบอกกับยูเนสโก้ว่า แผนบริหารจัดการปราสาทเขาพระวิหาร ควรที่ให้ยูเนสโก นับกลับไปพิจาณาก่อน เพื่อไม่ให้เป็นต้นเหตุและเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
นายกษิต กล่าวต่อว่า ตนได้มีหนังสือไปถึงยูเนสโก้ บอกว่าอย่ามองว่าเป็นเรื่องทางวัฒนธรรมอย่างเดียว แต่ขอให้ดูสภาพความเป็นจริง ที่มีความเชื่อมโยงถึงความขัดแย้งและความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาด้วย
เมื่อถามถึงกรณีมีหนังสือถึงเลขายูเอ็น ต่อกรณีปราสาทเขาพระวิหาร นายกษิต กล่าวว่า ก็ยังเป็นข่าวอยู่ ตนไม่ทราบว่ายื่นหนังสือจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องของไทย กัมพูชา โดยก่อนหน้านี้ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เวียดนาม ปี 2553 เลขายูเอ็นได้ย้ำว่า เรื่องที่เกี่ยวกับชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องของ 2 ประเทศ ไม่เกี่ยวกับองค์กรใด หรือประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ ต้องมีการสอบสวนเรื่องราวที่นำสู่การยิงปะทะกันในวันนี้(4 ก.พ.)
เมื่อถามถึง แนวทางในการแก้ไขปัญหาชายแดน จะเป็นอย่างไรต่อไป นายกษิต กล่าวว่า มีกรอบ เจบีซีอยู่แล้ว ซึ่งทั้ง 2 ประเทศจะต้องเจรจาภายใต้กลไกเจบีซีต่อไป ทั้งนี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องหลีกเลี่ยงการปะทะกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างเช่นวันนี้อีก
เมื่อถามว่า งานแสดงสินค้าที่ไทยจะจัดร่วมกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ได้ชะลอออกไป นายกษิต กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่อง ตนขอหารือกับรัฐมนตรีพาณิชย์ , บริษัทเอกชน ที่จะนำสินค้าไปแสดงเสียก่อน
เมื่อถามถึงการเดินทางไปเยี่ยมนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ที่เรือนจำเปรย์ซอร์ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะมีผลต่อการสู้คดีหรือไม่ นายกษิต กล่าวสั้น ๆว่า ไม่กระทบ