ข่าว

ทหารเขมรประชิดปราสาทตาเมือนธมอีก

ทหารเขมรประชิดปราสาทตาเมือนธมอีก

04 ก.พ. 2554

ทหารเขมร100นายประชิดปราสาทตาควาย-ตาเมือนธมเมืองสุรินทร์ ผอ.โรงเรียนบ้านภูซรอลเผยได้ยินเสียงปืนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านภูมะเขือ ชี้กระสุนปืนใหญ่ตก "อบต.เสาธงชัย-ร.ร.ภูซรอล "นับ 10 ลูก“ปชป.”แนะ “พธม.” เข้าชื่อหมื่นคนเสนอรัฐสภาพิจารณายกเลิก MOU43 ผบ.สส.

ตั้งแต่เวลา 13.20 น. วันที่ 4 ก.พ. ได้มีกำลังของทหารกัมพูชา พร้อมอาวุธหนัก และอาวุธประจำกาย เข้าที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ฐานปฏิบัติการเก่า ของ ตชด.ที่ภูมะเขือ บ้านซำเบง ต.ภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จนกระทั้งเวลา 18.00 น.ของวันเดียวกัน ที่บริเวณหมู่บ้านภูมิซรอน ก็ยังสามารถได้ยินเสียงปืนใหญ่  และ อาร์พีจี ดังตลอดเวลา

 ในการปะทะกันในครั้งนี้ มี พล.อ.กวน กิม รอง ผบ.ทบ.สส. ได้เดินทางมาที่ อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา มาควบคุมเหตุการณ์ นอกจากนี้ ยังมี พล.อ.ชิน จันเปือ ผบ.สมรภูมิที่ 3 ที่รับชอบพื้นที่ของ จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา, พล.ต.โป เฮง ผบ.ฉก.ภาค 4 และ พล.ต.แปน โวย ผบพลน้อยที่ 42, ทหารป้องกันชายแดน 42, และ ตชด. 702 เป็นผู้นำ

 จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้รายงานมาว่า ที่บริเวณไกล้ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ห่างจากตัวปราสาทประมาณ 500 เมตร ได้มีกำลังทหารของกัมพูชา ประมาณ 100 นาย พร้อมรถถัง จำนวน 20 คัน, ปืน bm ขนาด 40 ลำกล้อง จำนวน 6 ชุด, อาวุธปืน rpg จำนวน 7 คัน พร้อมอาวุธประจำกาย เข้ามาประชิดชายแดน

 แหล่งข่าวยังแจ้งมาอีกว่า ภายในคืนนี้ทางหารกัมพูชาจะเข้ายึดตัวปราสาทตาควายและตาเมือนธมให้ได้ภายในคืนนี้ ขณะที่กำลังของทหารพราน กรมทหารพรานที่ 26 กองทัพภาคที่ 2 กกล.สุรนารี ได้เตรียมพร้อมคอยรับมืออยู่ตลอดเวลา

เมื่อเวลา 15.00 น.ได้รับแจ้งจากนายบุญรวม  พงษ์ปาน ผอ.โรงเรียนบ้านภูซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษว่า ได้ยินเสียงปืนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านภูมะเขือ จำนวน 10 นัด โดยเสียงปืนดังเข้ามาเลื่อย ซึ่งมั่นใจว่าหากเกิดเหตุการรุ่นแรงขึ้นมาก็พร้อมที่จะอพยพนักเรียนเข้าหลุมหลบภัยได้ภายใน 2 นาที ซึ่งขณะนี้เสียงปืนก็ยังคงดังต่อเนื่อง

 ผู้ว่าฯบุรีรัมย์สั่ง2อำเภอชายแดนติดตามสถานการณ์

พ.อ.ประจักษ์  ประเมศรี  รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมาเปิดเผยหลังมีข่าวกองกำลังทหารกัมพูชา  ปะทะกับทหารไทย ที่บริเวณภูมะเขือ ด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหารชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นั้น ในส่วนของพื้นที่ชายแดนด้านจังหวัดบุรีรัมย์ ขณะนี้กองกำลังทหารพรานที่ 26  และตำรวจตระเวนชายแดน พร้อมทั้งกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 2 ได้มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ และช่องทางที่สามารถผ่านเข้าออกระหว่างพื้นที่ไทย-กัมพูชา

 เพราะจากรายงานขณะนี้ยังไม่มีการเสริมกำลังทหารไทยเข้าไปประชิดแนวชายแดน ซึ่งจากการตรวจสอบของหน่วยทหารที่ดูแลพื้นที่ยังไม่พบว่ามีกองกำลังทหารทางฝ่ายกัมพูชา เข้ามาประชิดชายแดนไทย บริเวณช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ แต่อย่างใด แต่ก็ไม่ประมาทหลายฝ่ายก็ได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ถึงจุดปะทะจะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ก็ตาม

 ด้านนายธานี สามารถกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ได้ให้ทางอำเภอและฝ่ายปกครองได้เข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ 2 อำเภอ คือ อ.บ้านกรวด และ อ.ละหานทราย ที่ติดแนวชายแดนไม่ให้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์  เพราะในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ยังไม่มีการปะทะของกำลังทั้ง 2 ฝ่ายแต่อย่างใด พร้อมให้ทางอำเภอได้ติดตามสถานการณ์ข่าวความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจะได้เร่งอพยพช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าวทันที

กระสุนปืนใหญ่ตกร.ร.ภูซรอลนับ10ลูก


 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นที่บริเวณทางด้านทิศตะวันตกของภูมะเขือ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จำนวน 10 นัด ต่อมาในเวลา 15.45 นาที ชาวบ้านจากทางฝั่งไทยก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นอีกครั้งเป็นระยะจำนวนอีกหลายสิบนัดในจุดเดิมอีกเช่นกัน จึงทำให้ นายวีรยุทธ์ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย ได้ประกาศเสียงตามสายให้ประชาชนที่อยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนให้ลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

 และขณะเดียวกันนั้นชาวบ้านแจ้งให้ทราบว่าหลังจากได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นไม่นานก็มีรถพยาบาลวิ่งขึ้นไปบนเขาพระวิหาร พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ทหารระดมกำลังพลเข้าเสริมกำลังในจุดแนวชายแดนที่มีเสียงปืนดังขึ้นด้วย และต่อมาในเวลา 17.10 น.เสียงปืนใหญ่ได้ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมีกระสุนปืนยิงมาตกที่บริเวณหน้า อบต.เสาธงชัย และโรงเรียนภูซรอล ต.เสาธงชัยฯ นับสิบลูกเช่นกัน และอาจทำให้ทรัพย์สินเสียหายจำนวนมากเช่นกัน ชาวบ้านต่างพากันวิ่งหลบหนีเพื่อหาที่กำบังกันชุลมุน

 ส่วนบรรยากาศที่ชายแดนไทย ด่านถาวร ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งอยุ่ห่างจากจุดปะทะบริเวณภูมะเขือ ประมาณ 100 กม.ปรากฏว่า ร้านค้าที่มีอยู่กว่า 50 ร้านได้ปิดตัวลงทันที ยังคงมีเปิดร้านเพียงแค่ 5-6 ร้านเท่านั้น บรรยากาศเงียบสงัด ต่างก็จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ และเฝ้าติดตามข่าวจากสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด 

 สำหรับประชาชนชาวกัมพูชา ที่ทำงานบริเวณตะเข็บชายแดน ด่านช่องสะงำ ได้ออกจากจุดผ่านแดนไปเกือบหมดแล้ว ส่วนตามตะเข็บชายแดนก็มีการตรึงกำลังกันตลอดแนว

ปชป.แนะพธม.เข้าชื่อเสนอเลิกMOU43

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอาศัยเหตุผลในการเรียกร้องหรือยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลดำเนินการ อาทิ การยกเลิกบันทึกความเข้าระหว่าง รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (เอ็มโอยู) พ.ศ.2543

หรือการใช้กำลังผลักดันคนสัญชาติกัมพูชาออกจากพื้นที่ของประเทศไทย เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญแล้ว ได้กำหนดในมาตรา 190 ระบุว่าการกระทำใดที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญา หรือดินแดน จำเป็นต้องนำเข้าสู่ กระบวนการของรัฐสภา ให้สมาชิกร่วมพิจารณาดังกล่าว

 นายบุญยอด กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ต้องการให้รัฐบาลมีการยืนยันว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน อย่างเป็นทางการและขอให้กำหนดชัดเจนในเอ็มโอยู 43 นั้นสามารถทำได้ โดยการเข้าชื่อประชาชนจำนวน 1 หมื่นรายชื่อเพื่อเสนอเป็นร่างกฎหมายให้มีการแก้ไข โดยผ่านตัวแทนอาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หรือ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์

ผบ.สส.ติงอย่านำการเมืองในไทยผสมปมนอกประเทศ  

 พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เราได้มีการพูดคุยกันระหว่างสองกองทัพโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางไปพูดคุยกับรมว.ต่างประเทศของกัมพูชาก็มีแนวโน้มไปในทางที่ดี ส่วนกรณีที่มีการมองว่าปัญหาดังกล่าวจะทำให้ถึงเกิดการสู้รบกันนั้น ตนอยากถามว่า มีประเทศไหนที่อยากให้มีการสู้รบกัน ซึ่งการแก้ไขปัญหาต้องมีการหารือกันในแบบทวิภาคี และพหุภาคี ส่วนกรณีที่มีการมองว่า กองทัพสามารถพูดคุยกับทางการกัมพูชาได้มากกว่ากระทรวงต่างประเทศนั้น กองทัพไม่เคยประเมินค่าตัวเองว่า ดีอย่างไร แต่เรามีหน้าที่ในการทำงาน ใครจะมองอย่างไรแล้วแต่คนจะคิด

 “เชื่อว่า สถานการณ์ไม่มีอะไรรุนแรง ผมไม่อยากให้เอาการเมืองในประเทศและนอกประเทศมารวมกัน เราต้องยึดประเทศชาติส่วนรวมเป็นหลัก อย่าเอาอัตตา อย่าเอาประโยน์มาเป็นที่ตั้ง แต่เราต้องเอาบ้านเมือง ประชาชน คุณธรรมเป็นที่ตั้ง ไม่ละเมิดความคิดของผู้อื่นทุกคนมีความคิดเพื่อประเทศชาติ และลูกหลาน” พล.อ.ทรงกิตติ กล่าว

 เมื่อถามถึงกรณีที่มีการมองว่า ทหารไทยกลัวกัมพูชา พล.อ.ทรงกิตติ ย้อนถามกลับพร้อมหัวเราะว่า “ผมเคยอ่อนไหม”

ม็อบรักชาติเล็งยื่นศาลระหว่างปท.ฟ้องรัฐไทยสมคบเขมร

  นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ แถลงว่า ฝ่ายกฎหมายเครือข่ายจะหารือกันวันอังคารที่ 8 ก.พ. เพื่อแบ่งงานเอกสารให้ครบถ้วนเรื่องทุกอย่างขึ้นฟ้องสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ตามกฎบัตรสหประชาชาติฉบับที่ 4 สนธิสัญญาระหว่างประเทศ ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน สนธิสัญญาข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องที่รัฐไทยละเมิดต่อคนไทยให้ต้องสิ้นอิสระภาพโดยสมคบกับรัฐบาลกัมพูชาในการลักพาตัวคนไทยไปจากดินแดนไทย จะดึงออกมาฟ้องร้องรัฐบาลไทยภายในเดือนนี้ ยื่นเรื่องให้เกิดความชอบธรรมต่อกลไกสากล เพราะจุดยืนของนายวีระ สมความคิด ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนไทย แต่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปร่วมประชุมเจบีซี เป็นพฤติกรรมล่าสุดขายชาติจริงๆ เพราะปัญหาเขตแดนไทย- กัมพูชา เลยขั้นตอนการเจรจาอย่างสันติไปแล้ว

 ม.ล.วัลย์วิภา จูรญโรจน์ หน้าที่รัฐบาลช่วยเต็มที่เอานายวีระ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ กลับมาประเทศไทยเร็วที่สุด แต่นายกษิต กลับไปประชุมเจบีซี การที่จะช่วยออกมาจริงๆไม่ใช่ไปบังคับให้คนไทยยอมลงนามสารภาพในสิ่งที่ทรยศต่อชาติ นายกษิต ต้องพิจารณาตัวเอง

 นายการุณ ใสงาม ที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายฯ กล่าวถึงการถูกสกัดจับที่สนามบินสุวรรณภูมิ อ้างว่ามีหมายจับ แต่ที่ผ่านมาเรียกให้มาจับก็ไม่มา แต่พอตนเดินทางเข้าออกไปทำหน้าที่ มาถูกจับท่ามกลางระหว่างเราทำหน้าที่ช่วยเหลือนายวีระและน.ส.ราตรี โดยเร็ว ซึ่งนายวีระยืนยันให้ทีมกฎหมายเครือข่ายฯต่อสู้เต็มที่ สวนทางแนวทางการต่อสู้ของสถานทูตไทยกรุงพนมเปญและรัฐบาลไทย คือไม่ต่อสู้ ยอมจำนน สารภาพให้รอดๆไปก่อน เรื่องอะไรจะเกิดขึ้นค่อยหาทางแก้ไขที่หลัง รูปแบบเช่นนี้ตรงกันข้ามกับแนวทางของนายวีระ และน.ส.ราตรี จึงทำให้สถานทูตไทยขัดขวางทุกเรื่องในการต่อสู้คดี จนกระทั่งเราจัดทำแผนที่ ภาพถ่ายทางอากาศ แปลเป็นไทยและเขมร จนได้ขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาได้ เราจะไปยื่นอุธรณ์ศาลอุธรณ์พนมเปญวันที่ 11 ก.พ.นี้ และเร่งรีบขอประกันตัวโดยด่วน ซึ่งแท้จริงผู้แก้ไขปัญหาคดีสองคนไทยที่ดีที่สุดคือนายกรัฐมนตรีไทย ที่มีความพร้อมในเจรจาตกลงต่อรองได้มากที่สุด แต่รัฐบาลไทยไม่ทำมีแต่เรียกร้องให้ยอมจำนน มั่นใจว่านายกษิต ไปเยี่ยมเพื่อบอกให้นายวีระยอมจำนนและออกมาสู้นอกคุก แต่เชื่อว่านายวีระ ไม่ยอมเพราะได้เลือกเส้นทางต่อสู้เพื่อประเทศไทย การต่อสู้ไม่ใช่มาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล แต่การยืนอยู่ในคุกเปร์ซอว์ก็เป็นต่อสู้แบบหนึ่ง เพื่อที่จะพิสูจน์เขตแดนไทยเพื่อก้ไขปัญหาเขตแดน เวลานี้เรียกร้องคนไทย 60 กว่าล้านคนตัดสินใจได้แล้วเราควรออกมาไล่รัฐบาลนี้ออกไปเร็วเท่าไหร่ช่วยแผ่นดินไทยได้เร็วมากขึ้น

 “ยอมรับว่าคดีนี้ต่อสู้ให้ชนะยาก เพราะหากศาลพิพากษายกฟ้องเท่ากับยืนยันว่าดินแดนที่คนไทยถูกจับเป็นของไทย จะให้เอาผู้พิพากษาเขมรไปตัดคอทั้งประเทศก็ไม่มีทางจะยกฟ้อง แต่เราจะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด ขณะที่รัฐบาลนี้ต้องการให้นายวีระยอมจำนน รับสารภาพแล้วขอพระราชทานอภัยโทษต่อกษัตริย์กัมพูชา แต่เท่าที่ผมได้ฟังนายวีระบอกว่าในใจเขามีพระมหากษัตริย์ไทยเพียงพระองค์เดียว ไม่สามารถก้มหัวให้กษัตริย์ชาติอื่นได้” นายการุณ กล่าว

"กษิต"ถก"ฮอร์ นัม ฮง"เร่งขับเคลื่อนเจบีซี
 
 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมาธิการความร่วมมือทวิภาคี(เจซี)ไทย-กัมพูชาร่วมกับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา โดยก่อนการประชุมอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้น นายกษิตได้หารือสองต่อสองกับนายฮอร์ นัม ฮง เป็นเวลาราว 20 นาที

 จากนั้นเมื่อเวลา 08.45 น. นายนัมฮงได้กล่าวเปิดประชุมโดยแสดงความยินดีที่สังเกตเห็นว่าสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นหลังมีการพบปะกันหลายครั้ง รวมทั้งมีกิจกรรมต่างๆเกิดขึ้นมากมายตั้งแต่การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนทั่วไทย(จีบีซี)ไทย-กัมพูชา ที่พัทยา การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างรัฐมนตรีและสื่อมวลชน การฉลองครบ 60 ปีความสัมพันธ์สองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกเลิกการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาที่ทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศเดินทางไปมาหาสู่และทำมาค้าขายระหว่างกันมากขึ้น ขณะที่เอกสารผลการประชุมเจซีจะเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติใช้ เพื่อที่จะทำให้ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศดียิ่งๆขึ้น

 "เป็นเรื่องปกติที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันก็ต้องมีปัญหาคั่งค้าง ซึ่งเราต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขต่อไป" นายนัมฮง กล่าว

 ขณะที่ นายกษิต กล่าวว่า สังคมไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ข้องแวะกันมานานหลายร้อยปี เรามีความเหมือนมากกว่าความต่างซึ่งสามารถนับเป็นต้นทุนร่วมกัน รัฐบาลและประชาชนควรส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประเทศที่ติดกันตัดขาดกันไม่ได้ ปัญหากระทบกระทั่ง ความเข้าใจผิด และมุมมองที่ต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความเหมือนในอดีตและอนาคตที่ดีร่วมกันมีอีกมากมาย เราต้องไม่ให้ปัญหาเป็นปัญหาต่อเนื่องและขยายเป็นปัญหาต่อๆไป แต่ต้องมุ่งแก้ปัญหาควบคู่ไปกับการร่วมมือเพื่อความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ 

 "แม้จะมีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม แต่ไทย-กัมพูชาก็สามารถประชุมเจซีร่วมกันได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของสองประเทศที่จะร่วมกันส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านต่างๆให้มีความคืบหน้าแน่นแฟ้น และแสดงให้โลกเห็นว่าทั้งสองประเทศยังคำนึงถึงภาพใหญ่ มีความสุขุม มีสติที่จะฟันฝ่ากระแส และกระทำในสิ่งที่ควรทำ เราต้องมองข้ามความขัดแย้งซึ่งเกิดจากปมปัญหาในอดีต และต้องไม่ให้อดีตมาเป็นอุปสรรคต่ออนาคต" นายกษิต กล่าว

 หลังใช้เวลาหารือราวชั่วโมงครึ่งการประชุมก็ยุติ โดยนายกษิตให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมทั้งในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความราบรื่นและมีบรรยากาศที่อบอุ่นสร้างสรรค์ โดยพูดกันถึงความร่วมมือที่ค่อนข้างสมบูรณ์และรอบด้านซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้กระชับยิ่งขึ้นและจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนและประชาชนโดยรวม

 นายกษิต กล่าวว่า สำหรับการหารือสองต่อสองกับนายนัมฮงได้พูดถึงภาพรวมของความสัมพันธ์ว่าจะขับเคลื่อนไปอย่างไร รวมถึงเรื่องการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(เจบีซี)ไทย-กัมพูชาว่าจะให้มีการประชุมกันโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างสามารถขับเคลื่อนไปได้ เพราะมีเรื่องที่สองฝ่ายสามารถทำร่วมกันได้ในระหว่างที่รอรัฐสภาพิจารณาบันทักการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับ 

 นายกษิต กล่าวต่อไปว่า ได้คุยเรื่องที่สองฝ่ายจะเพียรพยายามในการสร้างความสงบตลอดแนวชายแดนทั้งการให้ข่าวสารข้อมูล การดูแลรักษาความปลอดภัย พยายามหลีกเลี่ยงการดำเนินการใดๆก็ตามที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และได้ขอบคุณที่ท่านได้ช่วยประสานให้ได้เข้าเยี่ยมนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ได้ขอให้กัมพูชาเร่งดำเนินการด้านต่างๆ รวมทั้งการพิจารณาให้ดีให้ทั้งสองท่านกลับไทยได้ โดยดูทั้งสองอย่างคือกระบวนการยุติธรรมจบตรงไหน และฝ่ายบริหารจะเข้ามาต่อได้อย่างไร ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องคาใจหรือก่อให้เกิดแรงกดดันที่จะทำให้มีผลกระทบกับความร่วมมือสองฝ่าย 

 "คิดว่าท่านนัมฮงเข้าใจประเด็นของความเป็นไปในการเมืองภายในของไทยที่เกี่ยวกับคุณวีระดี และรู้ว่าเราจะต้องร่วมมือกันในการบรรเทาประเด็นปัญหาเพื่อให้ความสัมพันธ์ในภาพรวมมันมีความคืบหน้าเพราะมีสิ่งที่เราต้องทำร่วมกันอีกมาก" นายกษิต กล่าว 

 เมื่อถามว่าได้คุยเรื่องปัญหาบริเวณปราสาทพระวิหาร เรื่องการปลดธง และเรื่องวัดแก้วสิขาคีรีสะวาระแล้วหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ได้พูดกันหมดแล้วว่าเรื่องอย่างนี้ทำให้เกิดความร้อนแรงหรือเกิดเตือนขึ้นมา แต่ทำกลับไปกลับมา มันไม่ได้มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้โกรธกันเท่านั้น อะไรที่เลิกรากันได้ก็ทำกันไปเพราะมันไม่เป็นประเด็นและไม่อยากให้มาเป็นประเด็นปัญหา 

 "คุยกันแล้วว่าอยากให้มันสงบๆ ตกลงกันในหลักการว่าจะไม่ทำให้เกิดความหวั่นไหวโต้ตอบกันไปมา หลีกเลี่ยงการกระทำอะไรที่จะเป็นการปลุกระดม ปลุกเร้า สร้างความเข้าใจผิด หรือสร้างความตึงเครียด ทั้งสองฝ่ายต้องเพียรพยายามบอกคนของเราว่าให้บรรเทากันไว้ ผมบอกท่านว่ามีอะไรก็ให้โทรศัพท์หากันโดยเร็วเพื่อไม่ให้มันลามปาม" นายกษิต กล่าว

 เมื่อถามถึงการที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ยื่นเส้นตายให้นายวีระและน.ส.ราตรีกลับไทยภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ โดยไม่มีคดีติดตัว นายกษิต กล่าวว่า คนพูดมันก็พูดง่าย แต่ต้องดูเหตุและที่มาที่ไปเสียก่อน รัฐบาลพยายามให้ความช่วยเหลือทุกอย่างอย่างเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ดี การนำตัวคนทั้งสองกลับมาก็อยู่ที่ทั้งสองด้วยว่าจะเอาอย่างไร

  ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่แม่ทัพภาค 2 ระบุว่าฝ่ายกัมพูชาตอบรับในหลักการที่จะให้ไทยนำเอาสระตราวและโบราณสถานโดยรอบพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกและบริหารจัดการร่วมกับฝ่ายไทย นายกษิต กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ประเด็นเหล่านี้่มีคณะกรรมการระดับชาติที่ดูแลอยู่แล้ว ที่สำคัญคือเรื่องนี้ต้องให้รัฐบาลสองฝ่ายเห็นชอบ จะว่ากันฝ่ายเดียวไม่ได้

  ขณะที่นายนัมฮง ให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมมีการสานต่อปัญหาหลายเรื่องที่สำคัญคือ หารือเรื่องการค้ามนุษย์ที่ีคนกัมพูชาถูกหลอกลวงเข้าไปค้าแรงงานในไทยและถูกจับกุม ซึ่งอยากให้ฝ่ายไทยช่วยดูแลโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน หากคนกัมพูชาทำผิดก็สามารถจับกุมได้แต่อย่าใช้วิธีรุนแรงเช่นถูกยิงแต่ให้ดำเนินการการไปตามกฎหมาย การทำเอ็มโอยูเรื่องราคาสินค้าเกษตร นอกจากนี้ยังได้หารือกันถึงการเปิดด่านใหม่นอกเหนือจากที่มีอยู่เพื่อเป็นช่องทางให้คนสองประเทศไปมาหาสู่กันได้สะดวกมากขึ้น 

 นายนัมฮง กล่าวว่า ในส่วนปัญหาชายแดนนายกษิตได้แจ้งว่าจะมีการดำเนินการเรื่องเจบีซีให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอให้เอ็มโอยูทั้ง 3 ฉบับผ่านการพิจารณาของรัฐสภาก่อนเพราะมีอย่างน้อย 3 ประเด็นที่สามารถทำได้ก่อนคือ การทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อหาหลักเขตทั้งหมด ควบคู่กับการให้ผู้เชี่ยวชาญลงตรวจสอบพื้นที่ทางบก ซึ่งขณะนี้มีหลักหมุดที่หาเจอแล้ว 33 หลักเขต ที่ยังถกเถียง 15 หลัก และหาไม่เจอ 25 หลัก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดน ทั้งนี้เห็นว่าการประชุมเจบีซีเร็วขึ้นจะช่วยลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน 

 ผู้สื่อข่าวถามว่าตามแนวชายแดนเกิดความตึงเครียดเพราะมีการเสริมกำลังทหาร นายนัมฮง กล่าวว่า ไม่มีความตึงเครียดเลย สถานการณ์ก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้เอาอาวุธมาฝึกตามแนวชายแดน กัมพูชาจึงต้องนำอาวุธไปฝึกตามแนวชายแดนเหมือนกัน ฝั่งไทยนั้นกัมพูชาไม่รู้แต่ฝั่งเราก็ต้องเตรียมตัวไว่ก่อน แต่ตนเชื่อมั่นว่า ณ เวลานี้จะไม่มีการปะทะกันตามแนวชายแดน 

 เมื่อถามว่าได้มีการพูดถึงเรื่องวัดแก้วฯและข้อเรียกร้องให้ปลดธงหรือไม่ นายนัมฮง กล่าวว่า วัดแก้วฯอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยกัมพูชา เรื่องจะย้ายธงไปตรงไหนไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะที่นั่นคือดินแดนของเรา