
แม่ทัพ2ยันธงไทยคู่ธงเขมรที่วัดแก้วฯ
แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้ไม่จำเป็นต้องบังคับกัมพูชาปลดธงชาติที่วัดแก้วฯลง เพราะไทยก็ปักธงชาติไทยที่สถูปแล้วเช่นกัน ยันแค่นี้เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องบุกไปปักที่วัดแก้วให้เกิดเป็นชนวนสงคราม เพราะอย่างไรทั้ง 2 จุดก็อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเช่นเดียวกัน
(3ก.พ.) พลโทธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาโดยเฉพาะกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ทำหนังสือประท้วงให้ทางกัมพูชารื้อถอนวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ และธงชาติออกจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ชายแดนไทย - กัมพูชา ว่า การประท้วงของกระทรวงการต่างประเทศครั้งนี้น่าจะเป็นการประท้วงตามกติกาที่ระบุอยู่ใน เอ็มโอยู 43 ที่ระบุไว้ว่าใครจะไปดำเนินการใดๆในพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนภายในระยะ 500 เมตร จากแนวเขตแดนสมมติทั้ง 2 ฝั่ง ไม่ได้ทั้งนี้ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ในพื้นที่จากแนวเขตแดนสมมุติในฝั่งของไทยเองก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆที่ขัดต่อ เอ็มโอยู 43 เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ป่าอุทยานและป่าสงวน แต่สำหรับฝั่งของกัมพูชาเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างมีความเจริญ และเมื่อเป็นพื้นที่เจริญคนของประเทศกัมพูชาก็จะเข้ามาจัดสรรที่ทำกินแบ่งขายกันเอง ซึ่งในจุดนี้ทางฝั่งไทยก็ได้มีการประท้วงไปโดยตลอด เพื่อไม่ให้มีการดำเนินการเกินเขตที่เราสมมุติไว้ คือ 1 ต่อ 5 หมื่น L 7017 ที่เรายึดถืออยู่
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ในส่วนของทางกองทัพภาคที่ 2 ได้ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างทหารในพื้นที่ประสานไปยังกัมพูชาไม่ให้มีการดำเนินการใดๆนอกเหนือจากที่เป็นอยู่ เนื่องจากความจริงแล้ว วัดแก้วฯ ทางฝ่ายกัมพูชาเองได้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2541 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามพื้นที่ดังกล่าวถึงแม้ทางกัมพูชาจะเข้ามาก่อสร้างวัด แต่ก็ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของฝ่ายใด จนกว่าจะมีการตกลงกันในเรื่องของการปักปันเขตแดนที่แน่ชัด ดังนั้นพื้นที่ตรงนี้ยังถือเป็นพื้นที่ของทั้ง 2 ประเทศ แต่ทางฝ่ายกัมพูชาอาจจะมีความคิดว่า เป็นพื้นที่ของกัมพูชาแล้ว ซึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ทางความคิดที่เราไม่สามารถจะไปห้ามได้ แต่ความจริงแล้วพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นของฝ่ายใด ขึ้นอยู่กับผลการปักปันเขตแดนโดยคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี ซึ่งความคิดส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นเรื่องที่เริ่มต้นได้ลำบากเพราะขณะนี้ไทยกับกัมพูชาถือแผนที่กันคนละฉบับ โดยฝั่งไทยยึดถือสันปันน้ำ แต่ฝ่ายกัมพูชายึดถือแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน
พลโทธวัชชัยฯ กล่าวอีกว่า ทราบว่าขณะนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศและกรมศิลปากรของไทย กำลังดำเนินการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกในส่วนของสระดาวแกะสลักนูนต่ำ และสถูปคู่เป็นมรดกโลก ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการดำเนินการอย่างเร็ว 1 - 2 ปี เพราะขณะนี้มีอีกหลายร้อยประเทศที่อยากจะขึ้นทะเบียนมรดกโลก ซึ่งในเบื้องต้นทราบว่าทางคณะกรรมการขึ้นทะเบียนมรดกโลกก็มีการรับหลักการคร่าวๆในส่วนนี้แล้ว แต่หากเกิดสถานการณ์ปัญหาขึ้นมาในพื้นที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก็เป็นได้
หากการขึ้นทะเบียนมรดกโลกสระดาวแกะสลักนูนต่ำ และสถูปคู่ สำเร็จ ก็อาจจะมีการกำหนดแผนบริหารจัดการร่วมกันกับฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากที่ตั้งสระดาวแกะสลักนูนต่ำ และสถูปคู่ จะอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ดังนั้นก็จะกลายเป็นในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร จะมีมรดกโลก 2 แห่ง คือปราสาทเขาพระวิหาร และสระดาวแกะสลักนูนต่ำ และสถูปคู่แต่ไม่ได้ขึ้นเป็นของประเทศไทยประเทศหนึ่ง และจะต้องมีการบริหารตัดการพื้นที่ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ ไม่ว่าจะทำอะไร 2 ประเทศก็จะต้องแบ่งครึ่งทั้งคู่
สำหรับที่ตั้งของสระดาวแกะสลักนูนต่ำ และสถูปคู่ แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แต่จะอยู่ในฝั่งไทยตามแนวเขตแดนสมมุติที่กำหนดไว้ ซึ่งสระดาวแกะสลักนูนต่ำ และสถูปคู่ ถือเป็นส่วนประกอบของปราสาทเขาพระวิหารที่ตั้งอยู่ในฝั่งของกัมพูชาหากยึดถือตามแนวเขตแดนสมมุติ เนื่องจากวัสดุก่อสร้างทั้งหินและดินของปราสาทเขาพระวิหารได้มาจากพื้นที่แห่งนี้
ในส่วนของปัญหาการปักธงที่วัดแก้วสิขาคีรีสวระนั้น แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ทั้งนี้พื้นที่ดังกล่าวขณะนี้ยังถือเป็นพื้นที่ของทั้ง 2 ประเทศ ดังนั้นประเทศใดจะเข้าไปปักธงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร ปัจจุบันธงชาติกัมพูชาก็เป็นเพียงการนำไปติดตั้งอยู่บนป้ายซุ้มประตูวัดแก้วฯ ซึ่งเดิมทีก็มีการติดตั้งมานานแล้ว และเมื่อทางกัมพูชาเห็นว่าประเทศไทยเอาจุดนี้มาเป็นกระแสก็เลยเปลี่ยนธงเสียใหม่ และเมื่อทางไทยได้ประสานให้กัมพูชาปลดธงดังกล่าวลง ทางฝ่ายกัมพูชาเองได้ให้คำชี้แจงว่าเรื่องของธงชาติถือเป็นเรื่องที่สำคัญของแต่ละชาติและคงทำตามข้อเรียกร้องไม่ได้
เพราะฉะนั้นทางฝ่ายไทยเองก็ได้มีการนำธงชาติไทยไปปักยังสระดาวแกะสลักนูนต่ำ และสถูปคู่ บ้าง ซึ่งเมื่อมีการปักแล้วทางฝ่ายกัมพูชาเองก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ เพราะถือว่าเป็นสิทธิ์ของเราที่สามารถดำเนินการได้ แต่สำหรับบนพื้นที่วัดแก้วนั้นฝ่ายทหารไทยเองก็ไม่อยากที่จะนำธงเข้าไปปักในพื้นที่เนื่องจากความจริงแล้วทางกัมพูชาก็ไม่ได้มีการปักธงบนพื้นดิน แต่เป็นเพียงการนำไปติดตั้งบนซุ้มประตูวัด ดังนั้นหากเรานำธงชาติไทยไปปักในพื้นที่ก็อาจจะเกิดปัญหาเป็นชนวนความขัดแย้งขึ้นได้ บางครั้งเราต้องดูขีดจำกัดและผลกระทบที่จะตามมาด้วย เพราะอย่างไรก็ตามทั้ง 2 ประเทศก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ประเทศกัมพูชาไม่ได้เป็นลูกน้องประเทศไทยดังนั้นของให้สังคมเข้าใจในจุดนี้ด้วย ขอให้รอเวลา ให้หาทางเพื่อให้จบลงโดยสันติได้จะดีที่สุด เพราะไทย - กัมพูชา คงไม่สามารถยกดินแดนหนีกันได้ ซึ่งหากเกิดปัญหาจนมีการกระทบกระทั่งกันจริงคนที่เดือดร้อนที่สุดก็จะเป็นคนไทย - กัมพูชา ตามแนวชายแดน
ในส่วนของข่าวการเสริมกำลังของฝ่ายกัมพูชาสร้างความหนักใจให้กับกองทัพภาคที่ 2 หรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่า ไม่ได้กังวลหรือหนักใจในส่วนนี้ เนื่องจากความเป็นจริงแล้วกำลังทหารไทยที่ประจำอยู่ตามแนวชายแดนขณะนี้มีมากกว่าจำนวนทหารของฝ่ายกัมพูชามาก แต่ทางกองทัพไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้ง แต่เป็นการดำเนินการแบบลับๆ ส่วนการฝึกกำลังพลของกองทัพภาคที่ 2 ในช่วงนี้นั้น ยืนยันว่าเป็นการฝึกตามวงรอบการฝึก โดยเฉพาะการฝึกทหารใหม่ที่มีการกำหนดช่วงเวลาการฝึกในช่วงนี้เป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้อาวุธและการทำแนวป้องกัน ขุดหลุมบังเกอร์ ทั้งหมดก็ถือว่าอยู่ในแผนการฝึกทางทหารที่ดำเนินการมาเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว ถือเป็นการฝึกขั้นพื้นที่ฐานของทหารทุกประเทศ
ทั้งนี้พลโทธวัชชัยฯ ยืนยันว่า ในความคิดส่วนตัวแล้วการบังคับให้ฝ่ายกัมพูชาปลดธงชาติที่ซุ้มประตูวัดแก้วลงก็จะเป็นปัญหา เนื่องจากธงชาติถือเป็นสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญของทุกประเทศ อย่างเช่นหากมีการสู้รบที่ใด ธงชัยเฉลิมพลจะต้องตั้งตระหง่านอยู่กลางสนามรบแม้จะเหลือทหารอยู่เพียงคนเดียวก็ตาม เพราะถือเป็นศักดิ์ศรีของชาติ ดังนั้นหากกัมพูชาไม่ยอมปลดก็ไม่ควรที่จะไปบังคับเพราะอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้
พลโทธวัชชัยฯ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการควบคุมสถานการณ์ตามแนวชายแดนนั้น ทางกองทัพภาคที่ 2 ก็ได้มีการบพูดคุยกับฝ่ายผู้นำทางทหารของกัมพูชาเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ และยืนยันว่าความสัมพันธ์ทางทหารของทั้ง 2 ประเทศยังดีอยู่ แต่ที่กระแสความขัดแย้งค่อนข้างรุนแรงก็เนื่องจากมีกลุ่มคนบางคน ไปยืนอยู่ข้างถนนและพูดจาไปเรื่อย ซึ่งตรงจุดนี้หากคิดในข้อเท็จจริงแล้ว หากมีกลุ่มคนบางกลุ่มของฝ่ายกัมพูชา ไปตะโกนด่าประเทศไทยในประเทศของเขาเป็นประจำทุกวัน เราก็จะต้องรู้สึกโกรธขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งนี้ทางฝ่ายกัมพูชาเองก็อาจจะรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ไม่ใช้เป็นการเคลื่อนไหวภายใต้การกำกับของรัฐบาล แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไม่รัฐบาลไม่ห้ามปรามคนกลุ่มนี้ ซึ่งตนเองก็เคยถูกผู้นำทางทหารของกัมพูชาถามไถ่ในจุดนี้เช่นเดียวกัน แต่ตนเองก็ไม่สามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ เพียงแค่แสดงความคิดว่าคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นพวกที่มีความคิดสุดโด่งมากไปเท่านั้น
ส่วนการผลการตัดสินกรณี 2 คนไทย ของศาลกัมพูชานั้น แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ความจริงแล้วมีคนไทยต้องติดคุกอยู่ในกัมพูชาเป็นจำนวนมาก แต่ทำไมไม่เคยเกิดปัญหาเหมือนเช่น 2 คนนี้ ทั้งนี้หากมองข้อเท็จจริงพฤติกรรมของนายวีระ สมความคิด ที่อยู่ในศาลควรที่จะให้เกียรติศาลมากกว่านี้ เพราะหากศาลไทยถูกกระทำเช่นเดียวกับศาลกัมพูชา ก็อาจจะมีส่วนนำมาตัดสินพิพากษาในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน เพราะทางนายวีระฯ เอง ไปโวยวายเสียงดังใส่คณะผู้พิพากษา ไม่เป็นตามมารยาทในศาลที่จะต้องเป็นผู้รับฟังเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะเป็นส่วนที่ทำให้ผลการตัดสินออกมาแบบนี้ด้วยก็เป็นได้ เพราะศาลถือเป็นสถานบันสูงสุดของแต่ละประเทศ
ในส่วนของความเป็นห่วงของภาคประชาชนว่าอาจจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่แนวชายแดนนั้น แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ขอกล่าวโดยสรุปว่า หากทางฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนทางไทยก็ต้องตอบโต้ แต่หากฝ่ายกัมพูชาไม่ดำเนินการใดๆ ทางไทยก็จะไม่ให้เกิดการปะทะ ทหารจะยึดถือการปฏิบัติเพียงเพื่อเป็นการป้องกันตนเองเท่านั้น