ข่าว

"กษิต"เยี่ยมทหารบูรพาก่อนถกเขมร

"กษิต"เยี่ยมทหารบูรพาก่อนถกเขมร

03 ก.พ. 2554

“รองนายกฯมั่นคง” เชื่อ”กษิต”ถก “เจบีซีเขมร” สื่อสารถึง “ฮุนเซน” หาทางช่วย “วีระ-ราตรี” กลับบ้าน “สุเทพ” ปัด“ตร.” รวบ “การุณ” ไม่เกี่ยวชุมนุม “พธม.” ขับไล่ “รบ.” งง “พธม.” โกรธ “เขมร” ที่ไม่ปล่อย “2 คนไทย” จึงประกาศยกระดับชุมนุม แต่กลับมาไล่ขีดเส้นตา

(3ก.พ.) นายกษิต ภิรมย์   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการเดินทางไปร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (เจซี)   ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 7 ที่เสียมเรียบ ในระหว่างวันที่ 3-4 ก.พ.นี้   ว่า ในการเดินทางครั้งนี้ ตนและคณะได้เดินทางไปทางรถยนต์จะแวะไปหารืแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังบูรพาที่รักษาความสงบตามแนวชายแดน   รวมถึงลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทาง ซึ่งเป็นถนนที่ไทยให้ความช่วยเหลือกัมพูชา   ในการก่อสร้างถนนเชื่อมภูมิภาคในอาเซียน นอกจากนี้ ยังสำรวจเส้นทางความเป็นไปได้ ในการสานต่อการก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างจังหวัดสระแก้วกับกัมพูชา
                                
 มีรายงานว่า ในการเดินทางไปร่วมประชุมเจซีครั้งนี้ นายกษิตได้เดินทางรถยนต์ข้ามไปยังกัมพูชา โดยผ่านด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว อีกทั้งในโอกาสนี้ นายกษิตจะหารือนอกรอบกับนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ในวันพรุ่งนี้ เกี่ยวกับปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. อาทิ การรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเพิ่มเติมของวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่ได้เป็นประเด็นถกเถียงที่สุ่มเสียงต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา รวมทั้งใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์ของสองประเทศมากขึ้น

ส่วนบรรยากาศบริเวณหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ และตลาดโรงเกลือ ยังคงอยู่ในความเงียบเหงา นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางออกไปฝั่งกัมพูชา น้อยมาก และพ่อค้า แม่ค้าชาวกัมพูชาเดินทางเข้ามาเปิดร้านค้าในตลาดโรงเกลือ เพียง แค่ 30 % เท่านั้น ทำให้บรรยากาศการค้าและการท่องเที่ยวตกอยู่ในสภาพเหงาหงอย

บรรยากาศการค้าชายแดนศรีษะเกษเงียบ
 
 จากกรณีพิพาทและการเคลื่อนกำลังพลพร้อม รถถัง รถหุ้มเกราะ อาวุธยุทโธปกรณ์อาวุธปืนนานาชนิด เข้ามาตรึงกำลังตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชาของทหารไทยและกัมพูชานั้น ส่งผลให้บรรยากาศการค้าชายแดนไทยกัมพูชา ที่จุดผ่านแดนถาวร ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เงียบเหงา ผู้คนที่เดินทางมาจับจ่ายลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด 
  
 แม่ค้าชาวกัมพูชารายหนึ่งบอกว่า ในวันเปิดตลาดนัดครั้งนี้ มีชาวกัมพูชาข้ามแดนเข้าฝั่งไทยประมาณ 80-90  คน  หากอยู่ในช่วงสถานการณ์ปรกติมีประชาชนกัมพูชาข้ามแดนอยู่ที่ประมาณวันละ 600-700 คน  ส่วนพ่อค้าแม่ค้าฝั่งไทยหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง  จากที่เคยมีพ่อค้าแม่ค้าตลาดฝั่งไทยร่วม 50  ร้าน แต่วันนี้หายไปเกือบครึ่ง  ส่วนใหญ่บอกว่ายังไม่ไว้ใจสถานการณ์ เพราะเกรงว่าจะเกิดความรุนแรง  ทำให้ไม่กล้าออกจากบ้านข้ามพรมแดนมาจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จุดผ่านแดนถาวร ช่องสะงำ

 นายเซ็ง รา ชาวบ้านสระแอม อำเภอตะเปียงปราสาท จังหวัดพระวิหาร กล่าวว่า ไม่กังวลเรื่องการตรึงกำลังของทหารไทยและกัมพูชาแต่อย่างใดเพราะประชาชนทั้ง 2 ประเทศต่างเป็นพี่เป็นน้องกัน  ไปมาหาสู่กันอย่างมีความสุข ช่วยเหลือกันด้วยดีมาโดยตลอด ส่วนเรื่องการตรึงกำลังของทหารทั้งสองฝ่ายมองว่า เป็นหน้าที่ของทหารที่ต้องปฏิบัติในการดูแลประเทศชาติให้สงบสุข นอกจากนี้ยังต้องการให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้เร่งร่วมกันแก้ปัญหา ของทั้งสองประเทศ
นายคูณ คงตางาม ที่ปรึกษาตลาดการค้าชายแดนไทยกัมพูชา กล่าวว่า ความเงียบเหงาที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน มีสาเหตุมาจากในวันนี้เป็นวันตรุษจีนของชาวกัมพูชาเชื้อสายจีน อาจทำให้ผู้คนมาจับจ่ายลดลง และการตรึงกำลังทหารทั้งสองฝ่ายตามแนวชายแดนหลังจากกรณีพิพาท  ทำให้มีการเคลื่อนกำลังพล พร้อมรถถัง รถหุ้มเกราะ อาวุธยุทโธปกรณ์ อาวุธปืนนานาชนิด ทำให้ส่งผลกระทบต่อการค้า เศรษฐกิจ และสังคมตามแนวชายแดน 

"เทือก"เชื่อ"กษิต"ถกกัมพูชาราบรื่น

นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า นายกษิตเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่แรก และมั่นใจว่านายกษิตจะสามารถสื่อสารให้ผู้นำกัมพูชาได้เข้าใจ ความเป็นจริงว่าประเทศไทยต้องการอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีสันติไม่ได้ต้องการสู้รบให้เกิดปัญหาและในการแก้ไขปัญหาต้องใช้ความร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย

ส่วนคดีของนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พรพิพัฒนาไพบูรณ์ ต้องแยกออกจากการเจรจาเพราะถือว่าอยู่ในกระบวนการของศาล  เมื่อสิ้นสุดกระบวนการศาลแล้ว  เจ้าตัวและญาติสามารถยื่นขอพระราชทานอภัยโทษได้ ในขณะที่รัฐบาลคงจะดำเนินการควบคู่กันไป ซึ่งต้องรอดูผลคดีให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยเสียก่อน เพราะยังไม่ทราบว่าเจ้าตัวจะสู้คดีถึงที่สุดแค่ไหน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวนายการุณ ใสงาม ทีมทนายความเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ  ในข้อหาบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิจะยิ่งทำให้การชุมนุมของกลุ่มพธม. รุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่  รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง  กล่าวว่า ตนยังไมได้รับรายงานเรื่องนี้  แต่คิดว่าการจับกุมเป็นไปตามหมายจับที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเเรื่องที่เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ  เพราะที่ผ่านมาผู้ต้องหาคดียึดสนามบินส่วนใหญ่ เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว  แต่มีอยู่ประมาณ 7 รายที่ไม่ยอมมอบตัว  ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องออกหมายจับเมื่อพบตัวก็ต้องดำเนินการจับกุม  กลุ่มผู้ชุมนุมจะต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร  คนที่ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมต้องมีเหตุผล  

 ผู้สื่อข่าวถามว่า การจับกุมนายการุณครั้งนี้ เป็นเพราะไปร่วมการเคลื่อนไหวกับกลุ่มพธม.ใช่หรือไม่   รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า  ไม่เกี่ยวกัน โยงผิดเรื่องแล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า  มีนักวิชาการระบุว่าคดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่พิพาท   ศาลกัมพูชาไม่มีสิทธิที่จะตัดสินพิพากษาใด ๆ เกี่ยวกับคดีนี้  นายสุเทพ กล่าวว่า  ตนไม่สามารถวิจารณ์เรื่องนี้ได้   

 ผู้สื่อข่าวถามว่า  รัฐบาลไทยจะหยิบยกประเด็นนี้ไปต่อสู้คดีได้หรือไม่  รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง  กล่าวว่า   ตนไม่ทราบและไม่เคยได้ฟังประเด็นนี้มาก่อน
        
 ส่วนที่กลุ่มพธม.ประกาศยกระดับการชุมนุมและขีดเส้นตาย ให้รัฐบาลดำเนินการนำตัวคนไทยกลับมาโดยไม่มีมลทินภายใน 3 วันนั้น   นายสุเทพ  กล่าวว่า  มันก็เป็นเรื่องแปลกต้องถามว่าผู้ชุมนุมเขาโกรธใคร โกรธกัมพูชาที่ไม่ยอมปล่อยคนไทย แล้วมาขับไล่รัฐบาลไทย หรือว่ามาชุมนุมเพราะว่าไม่พอใจที่รัฐบาลไม่ช่วยเหลือมันก็ไม่ใช่  เพราะรัฐบาลก็ดำเนินการมาตามลำดับขั้นตอน ทุกคนทุกฝ่ายก็ทราบกันดีอยู่แล้ว   การประกาศยกระดับการชุมนุมนั้นตนไม่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับใคร  ในทางตรงกันข้ามหากมาปรึกษาหารือกัน ว่าจะช่วยกันอย่างไรให้เหตุการณ์คลี่คลาย คนไทยทั้ง 2 คนได้กลับบ้านน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
 
 ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่าการที่กลุ่มพธม.ประกาศยกระดับการชุมนุม ไม่มีความหมายอะไรกับรัฐบาลใช่หรือไม่  รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง   กล่าวว่า   อย่าพูดว่าไม่มีความหมายเลย เดี๋ยวเขาก็ทำให้มีความหมายมากขึ้น  อย่างไรก็ตามขณะนี้ช่องทางการเจรจายังไม่มีอะไรคืบหน้า ยังเป็นช่องทางที่เหนื่อยอยู่
         
 ผู้สื่อข่าวถามว่า  วันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมแผนรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล และผลักดันผุ้ชมุนนโดยการใช้แก๊สน้ำตา เป็นการส่งสัญญาณอะไรไปถึงกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่  นายสุเทพ  กล่าวว่า  ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร เป็นหน้าที่ของ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ในฐานะเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ซึ่งมีหน้าที่รักษาทำเนียบรัฐบาลไม่ให้ใครเข้ามาบุกรุกจึงต้องให้เจ้าหน้าที่มีความพร้อม ในการดูแลรักษาความสงบอยู่เสมอ ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่นั้นตนได้ย้ำกับทางผบช.น.ว่า  แม้จะมีภาระที่กำลังเจ้าหน้าที่จะต้องมาดูแลรักษาทำเนียบฯ รัฐสภา กระทรวงการต่างประเทศและสถานทูต แต่งานหลักจะต้องทำต่อไป ไม่ให้เสียหาย ซึ่งตนก็เห็นใจเพราะกำลังเจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด ทั้งนี้การปรับกำลังเจ้าหน้าที่ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์วันต่อวัน และรัฐบาลก็พยายามเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม