
มุมมอง"บิ๊กบัง"ผู้ปกครองต้องเป็นกลาง
ในที่สุด "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตรองนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารบก ก็ได้รับการคัดเลือกเป็น "หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ" อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการตัดสินใจก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มรูปแบบ
ก่อนตัดสินใจลงเล่นการเมือง "บิ๊กบัง" ได้ปรึกษาหารือกับครอบครัวถึงผล "ได้" และ "เสีย" ก่อนมาเล่นการเมือง เมื่อเห็นว่าเกิดประโยชน์มากกว่าจึงตัดสินใจมาเดินเส้นทางนี้ เพราะปัจจัยในการพัฒนาประเทศให้ไปสู่ความสำเร็จเร็วกว่านี้มาจาก การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และการทหาร
ส่วนสาเหตุที่ "บิ๊กบัง" เลือกใช้เส้นทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพราะเห็นว่าตำแหน่งการเมืองเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นช่องทางในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพราะการเมืองเป็นผู้กำหนดนโยบายเข้าไปแทรกอยู่ทุกองค์กรเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ นำไปปฏิบัติ
สำหรับ "ข้อเสีย" หรือผลกระทบที่จะตามมาหลังจากตัดสินใจเล่นการเมือง "บิ๊กบัง" รู้ดีและเตรียมพร้อมรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะการเมืองไทยใครได้ดีมักจะมีคนอิจฉาคนให้ร้ายป้ายสี ถือเป็นเรื่องธรรมดา ต้องพยายามเดินบนความถูกต้อง ต้องทน
สำหรับนโยบายที่ถือเป็นจุดขายของ "พรรคมาตุภูมิ" ในยุคชู "ประชานิยม" กำลังเข้มข้น "บิ๊กบัง" บอกว่า จะเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาสังคมแตกแยก และความเหลื่อมล้ำทางสังคม เน้นความเป็นกลาง ซื่อสัตย์สุจริต การแก้ปัญหายาเสพติด ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และแก้ปัญหาภาคใต้
ส่วนแนวทางลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม "บิ๊กบัง" ได้ขยายความว่าต้องยกระดับรายได้ของคนส่วนใหญ่ของประเทศให้มีรายได้ดีขึ้น ประเทศไทยเปรียบเสมือนสามเหลี่ยม คนจนส่วนใหญ่เป็นฐานล่าง คนรวยอยู่บนสุดเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ คนชั้นกลางอยู่ตรงกลางถือว่าน้อย ตราบใดประเทศไทยยังเป็นสามเหลี่ยมอยู่ถือว่ายังไม่เป็นประชาธิปไตย เราจะตะโกนว่าเราเป็นประชาธิปไตยทั้งที่ภาพรายได้ของบ้านเรายังเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่เป็นไปไม่ได้
"ผมมองว่าปัญหาปากท้องนำมาซึ่งปัญหาความแตกแยก ฐานการศึกษาบ้านเราต่ำจึงมักเป็นเครื่องมือทางการเมือง การเมืองไทยจึงไม่รู้ว่าใครดีหรือไม่ดี เพราะนำไปสู่การวิเคราะห์ที่ไม่เป็นเลือกตัวแทนไม่เป็นทำให้เลือกคนดีไม่เป็น เมื่อถูกซื้อด้วยเงินทองก็เหมือนเลือกคนไม่ดีเข้าสภา ปัญหาบ้านเมืองจึงไม่ได้รับการแก้ปัญหา" พล.อ.สนธิ กล่าว
สำหรับการชุมนุมของ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ในมุมมองของ "บิ๊กบัง" คิดว่าไม่น่าจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวจนเกิดความสูญเสียเหมือนปี 2552 และ 2553 สิ่งที่เสื้อแดงทำไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองได้ แต่เป็นการขยายการจัดตั้งให้ปริมาณผู้เข้าร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการสร้างฐานมวลชนและสร้างฐานคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยไปพร้อมๆ กัน เชื่อว่าถ้ารัฐบาลมีการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจริงจังก็ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยปี 2552 และ2553 รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพราะคนไทยขาดวินัย
โดยเฉพาะแนวทางการแก้ปัญหาความแตกแยก "สนธิ" บอกว่า ถ้ามีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าไปบริหารประเทศจะทำให้สังคมไทยกลับไปสู่สังคมที่มีรอยยิ้ม ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะผู้ปกครองต้องเป็นกลาง
"ผมอยากเห็นผู้นำที่สามารถรวมคนทุกกลุ่มมาเป็นหนึ่งเดียวได้สามารถเตือนคนโน้นคนนี้ได้ ถ้าผู้ปกครองไม่เป็นกลางก็ไม่สามารถไปเตือนใครได้เพราะคงไม่มีใครเชื่อ ผู้ปกครองกับพรรคการเมืองถ้าสามารถแยกกันได้ทางความรู้สึกก็จะดี ถ้าผู้นำยังเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองอยู่อย่าคิดว่าฝ่ายค้านคือศัตรูทางการเมืองเพราะแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ ผู้ปกครองต้องเป็นกลางระหว่างพรรคตัวเองและพรรคฝ่ายค้าน ผู้ปกครองต้องปกครองทั้งประเทศไม่ใช่ปกครองเฉพาะพื้นที่ของตัวเอง เมื่อเป็นผู้นำต้องถอดหัวโขนออกมาสร้างคุณลักษณะความเป็นผู้นำ" บิ๊กบัง กล่าว
สำหรับผู้นำในดวงใจของ "พล.อ.สนธิ" คือ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 11 ของประเทศไทย ชอบความตั้งใจจริง ความเด็ดขาด ความจงรักภักดี ถ้าผู้นำมีความรักชาติอยู่ในตัวจะนำพาประเทศชาติไปได้
"สนธิ" มองว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้กำลังเกิดวิกฤติผู้นำประชาชนมองการบริหารงานของรัฐไม่เข้มแข็งรัฐบาลปัญหาที่ผ่านมา 3-4 รัฐบาลเกิดจากวิกฤติขาดผู้นำไม่ใช้อำนาจอย่างเต็มที่ทำให้เกิดช่องว่าง
"บิ๊กบัง" ได้ยกตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมหากมีโอกาสเข้ามาเป็นผู้นำในภาวะบ้านเมืองกำลังเกิดปัญหา จะสร้างอุดมการณ์เรื่อง "ความรักชาติ" และ "ทระนงตัวในความเป็นคนไทย" ให้มากกว่านี้
"ประเทศไทยคนไทยเราในขณะนี้เรื่องความทระนงในเรื่องความเป็นคนไทยอ่อนแอมาก ความทระนงในความเป็นคนไทยของเรามันอ่อนเหลือเกิน (ย้ำหลายครั้ง) รู้สึกว่าเราขาดอุดมการณ์ของเราไป ขาดความเป็นคนไทย ลืมประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของเราไป ทำให้เราอยู่ไปวันๆ ต่างคนต่างอยู่" อดีตผู้บัญชาการทหารบก กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
สำหรับนโยบายด้านต่างประเทศในยุคที่ไทย-กัมพูชามีปัญหากระทบกระทั่งกันมาตลอด "สนธิ" กล่าวว่า ประเทศไทยมีแนวความคิดเหยียบเรือสองแคมมานาน บางครั้งมีข้อดีและข้อเสีย วิธีการต้องใช้กลยุทธ์ ไม่ใช่ทำแล้วประเทศเพื่อนบ้านมองว่าเจ้าเล่ห์ไม่จริงจัง ทำแล้วต้องทำให้เนียน นักการทูต นักล็อบบี้ยิสต์ ต้องมีการคัดเลือกจัดตั้งคนที่มีความเหมาะสม หาคนที่ทำให้คู่เจรจารัก อยากจะฟังหรือพูดคุยด้วย ไม่ใช่ไปถึงแล้วเตรียมตีรันฟันแทงกับเขา การเมืองระหว่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อยกปัญหาไทย-กัมพูชาให้ "สนธิ" ลองแก้ปัญหาถ้าได้เป็น "ผู้นำ" พล.อ.สนธิ ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อสมัย 10 ปีกว่ามีเขมร 4 ฝ่าย เขมร 3 ฝ่ายอยู่ตามแนวชาติแดนเป็นแสนคน และคนเป็นรองนายกรัฐมนตรีปัจจุบันนี้เคยเป็นเพื่อน และมีส่วนทำให้ 4 กลุ่มได้จัดตั้งรัฐบาล คนกัมพูชารักประเทศไทย เราต้องรู้จักวิธีการบริหารจัดการในการนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่เลือกใครก็ได้เอาใครก็ดี ต้องเฟ้นและสรรหา
สมถวิล เทพสวัสดิ์ / อาคม ไชยศร