
บัวแก้วกับการรู้ทันฮุนเซนจับ7คนไทย
ปีเสือดุที่เพิ่งผ่านพ้นไปเป็นอีกปีหนึ่งที่ท้าทายฝีมือของกระทรวงบัวแก้ว โดยเฉพาะการรับมือกับสัมพันธภาพที่ลุ่มๆ ดอนๆ กับกัมพูชา ซึ่งแรกเริ่มทำท่าเหมือนจะเป็นต้นร้ายปลายดี หลังกัมพูชาได้ปล่อยตัวคนไทย 3 คนที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 18 เดือน ในข้อหาข้อหาครอบครองอาวุ
แต่สุดท้ายกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีการจับกุม 7 คนไทยขึ้นศาลพนมเปญในข้อหา 2 กระทงทั้งเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและเข้าไปในเขตทหารโดยผิดกฎหมายเช่นกัน ทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นต้นร้ายปลายร้ายไปในที่สุด
เชื่อว่าปีเถาะ กระต่ายคงเป็นอีกปีหนึ่งที่กระทรวงบัวแก้วต้องพิสูจน์ฝีมือตัวเองว่าจะทันเกมนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรี สิงห์เจนสังเวียนผู้มากด้วยลูกล่อลูกชนและพร้อมจะพลิกลิ้นและปรับบทบาทตลอดเวลาหรือไม่ หรือได้แต่ถูกจูงจมูกให้เดินตามเกมของกัมพูชาเท่านั้น
ก่อนหน้าจะเกิดเหตุส่งท้ายปีเก่า นายกษิต ภิรมย์ เจ้ากระทรวงบัวแก้วเพิ่งแสดงความเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ของสองประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น ภายหลังการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดจากการที่นายฮุน เซน แสดงออกถึงความเข้าใจในกระบวนการทางรัฐสภาที่ต้องให้การรับรองบันทึกผลการประชุมเจบีซี 3 ฉบับก่อน จึงจะเดินหน้าเจรจาปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาต่อไปได้
แต่ไม่ทันไร ลิ้นกับฟันก็เกิดกระทบกระทั่งอีกครั้ง จนมีคำถามตามมาว่าผลตามมาจะเป็นเช่นใด ในเมื่อในเดือนมกราคมนี้ นายอัษฎา ชัยนาม ประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ฝ่ายไทยคนใหม่ จะเดินทางไปแนะนำตัวและพูดคุยกับนายวาคิม ฮอง ประธานเจบีซีฝ่ายกัมพูชา เพื่อเจรจาตกลงในหลักการเบื้องต้น เกี่ยวกับการคัดเลือกบริษัทถ่ายทำแผนที่ทางอากาศ และกำหนดวันที่คณะสำรวจหลักเขตแดนจะลงสำรวจพื้นที่ ก่อนที่จะมีการหารือกันอย่างจริงจังในการประชุมเจบีซี ครั้งที่ 4 ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายเชื่อว่าการจับกุมคนไทยทั้ง 7 คนจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีต่อกัน ในเมื่อบัวแก้วเองก็ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีต จากการนำเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุกมาเป็นเงื่อนจนผูกโยงกับการเมืองระหว่างประเทศ จนทำลายกลไกความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะการประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการเจรจาอ้างสิทธิพื้นที่ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนของไทยกัมพูชา ปี 2544 (เอ็มโอยู 2544 )
บทเรียนดังกล่าว ยังสอนให้กระทรวงบัวแก้วตระหนักว่าทางที่ดีแล้วต้องเร่งฟื้นฟูกลไกความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือกัมพูชาให้กลับคืนสู่กระบวนการปรกติ นั่นคือ การผลักดันให้การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ต้องเดินหน้าต่อไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ปัญหาเรื่องเขตแดนที่มีส่วนสำคัญเชื่อมโยงกับปัญหาข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร ก็คงคาราคาซังอยู่เช่นนี้
ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องกระตือรือร้นที่จะผลักดันให้บันทึกผลการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับผ่านการรับรองจากรัฐสภา เชื่อว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนี้การเจรจาปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่ค้างคาอยู่ก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
ในส่วนของบทบาทในเชิงรุกในแผนพัฒนาปราสาทพระวิหารของกัมพูชา อันเป็นอีกงานหนึ่งที่จะวัดฝีมือของบัวแก้ว ก่อนที่ไทยจะเสียรังวัดให้แก่กัมพูชาไปมากกว่านี้ หลังจากที่กัมพูชานำขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว
นายกษิตเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงบัวแก้วกำลังศึกษาข้อกฎหมายที่จะนำองค์ประกอบร่วม สระตราว สถูปคู่ นำขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับปราสาทพระวิหาร ซึ่งทางกัมพูชาก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อระเบียบของคณะกรรมการมรดกโลก และการศึกษาว่าสถาปัตยกรรมอยู่ในยุคเดียวกันหรือไม่
สำหรับบทบาทนำของไทยบนเวทีระหว่างประเทศ แน่นอนว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ต่างชาติกำลังจับจ้อง ทั้งในด้านการพัฒนาสิทธิมนุษยชน การปฏิรูปการเมืองและประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องดีที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นั่งในตำแหน่งประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชอาร์ซี) เพราะสะท้อนให้เห็นว่า ต่างชาติให้ความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทย
แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์นำในเรื่องสิทธิมนุษยชน และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการปฏิรูปการเมือง และเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นตามกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ
ในฐานะปราการด่านหน้าที่จะทำความเข้าใจกับประชาคมโลก นายกษิตกล่าวว่ากระทรวงบัวแก้วได้พยายามทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ในการสร้างความเข้าใจกับต่างชาติ โดยกำลังจัดทำเอกสารหนา 20 หน้า มอบให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อชี้แจงในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาคมโลก อาทิ การติดตามผู้กระทำความผิดคดีก่อเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ วิธีการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาก่อการร้าย ตลอดจนประเด็นปัญหาคอรัปชั่นเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งการเข้าไปมีบทบาทบนเวทีความร่วมมือต่างๆ
"เวทีใดที่จะเป็นประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย เราจะเข้าไปมีบทบาทอย่างแข็งขัน รวมทั้งเป็นปากเสียงให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อกำหนดอนาคตร่วมกัน" นายกษิตย้ำ
ในส่วนของความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนาม เจ้ากระทรวงบัวแก้วกล่าวว่าจะเน้นไปที่การให้ความช่วยเหลือเพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ บนพื้นฐานความชอบธรรม ความโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนหนึ่งก็เพื่อขจัดข้อสงสัยของต่างชาติที่มีต่อรัฐบาล อีกส่วนหนึ่งเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย มุ่งสร้างสันติภาพ ความสงบสุข และความมั่นคงให้แก่คนในชาติและประเทศเพื่อนบ้าน ตามแนวคิดที่ว่า “ความมั่นคง มั่งคั่งของประเทศเพื่อนบ้าน ถือเป็นความมั่นคงและมั่งคั่งกับไทย” เช่น การสร้างความสงบสุขตามแนวตะเข็บชายแดน อันจะช่วยลดปัญหาผู้อพยพและแรงงานต่างด้าวไหลเข้าประเทศ ปัญหาค้ายาเสพติด เป็นต้น
สำหรับแผนงานด้านการต่างประเทศในปี 2554 นั้น นายกษิตได้ชูให้ประเทศไทยมีบทบาทนำในการก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2558 โดยชี้ให้เห็นความสำคัญของการชำระประวัติศาสตร์เพื่อจัดทำเป็นตำราเรียนร่วมกันภายในกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งนี้เพื่อให้ภาคีสมาชิกอาเซียนก้าวข้ามจุดด่างพร้อยทางประวัติศาสตร์ไปให้ได้ โดยจะเน้นในเรื่องของข้อเท็จจริงที่เป็นหนึ่งเดียว การลดความเกลียดชัง การดูหมิ่นเหยียดหยาม และเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
ถ้าทำได้ตามนี้ แผนฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในฐานะดินแดนแห่ง "ยิ้มสยาม" ก็คงประสบความสำเร็จด้วยดี