
ก.ต.มีมติไล่ออกผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
ก.ต. มีมติไล่ออกผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผิดวินัยร้ายแรงพร้อมดำเนินคดีอาญา หลังถูกร้องเรียนเรื่องชู้สาว-รับสินบนแลกการพิจารณาประกันตัว
(20ธ.ค.) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง เมื่อเวลา 13.30 น. นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) พิจารณาลงมติกรณีที่มีผู้ร้องเรียน ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ชื่อย่อ ส. ว่ามีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีแล้ว และเรียกรับผลประโยชน์
โดยหลังจากมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ก.ต. แล้ว นายสบโชค ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้น ซึ่งคณะการการสอบสวนฯ ได้พิจารณาเอกสารหลักฐานและสอบถามผู้ร้องเรียนซึ่งได้ยืนยันข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน นอกจากนี้ยังได้สอบถามผู้เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่าข้อร้องเรียนดังกล่าวมีมูล จึงได้รายงานให้นายสบโชคทราบและต่อมา ก.ต. ได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย และมีคำสั่งให้ย้ายผู้พิพากษาดังกล่าว ไปเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ประจำสำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นตำแหน่งแขวนไม่มีหน้าที่ในการพิจารณาคดี พร้อมทั้งเซ็นคำสั่งพักราชการไว้ด้วย
ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว เห็นว่า ได้กระทำผิดตามที่มีผู้ร้องเรียน กล่าวหาจริงใน 2 กรณี คือ มีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีแล้ว และเรียกรับสินบนแลกกับการสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย เข้าข่ายเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพราะเป็นการรับสินบนเพื่อล้มคดีหรือให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราวเป็นความผิดทางอาญา เป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง จึงเสนอให้อนุ ก.ต. พิจารณาเสนอที่ประชุม ก.ต.พิจารณาลงโทษให้ไล่ออกจากราชการดังกล่าว
โดยที่ประชุม ก.ต. พิจารณาแล้ว มีมติเห็นว่า มีการกระทำผิดวินัยร้ายแรง ตามที่มีผู้ร้องเรียนจริง จึงมีมติให้ไล่ออกจากราชการ พร้อมกับพิจารณาเรื่องการดำเนินคดีอาญาต่อไป ซึ่งหลังจากนี้สำนักงานศาลยุติธรรมจะรายงานผลให้นายสบโชค ประธานศาลฎีกา รับทราบและลงนามต่อไป และจะได้ดำเนินการทำหนังสือแจ้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการเสนอโปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่ง และเรียกคืนเครื่องราชย์ทุกชั้นยศด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การร้องเรียนครั้งนี้ ได้มีการเปิดเผยชื่อตนเองพร้อมส่งพยานหลักฐานเอกสาร ภาพถ่ายประกอบการพิจารณาของ ก.ต. อย่างค่อนข้างชัดเจน ว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นมีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีแล้ว ยังอาศัยหญิงรายดังกล่าวใช้ในการเรียกร้องสินบนในการตัดสินพิพากษาคดีต่าง ๆ หลายคดีเป็นเงินรวมหลายสิบล้านบาทขึ้นอยู่กับความสำคัญของคดี