ข่าว

รอลงอาญา2ปี...ครูมือหวาย"ตีเด็ก"

รอลงอาญา2ปี...ครูมือหวาย"ตีเด็ก"

20 ธ.ค. 2553

ทันทีที่...คลิปวิดีโอที่บันทึกภาพ นายสมชาย ลิ้มธรรมาภรณ์ ลูกจ้างของโรงเรียนมารีย์วิทยา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้ดูแลหอพักของโรงเรียน และยังทำหน้าที่เป็นครูสอนวิชาศิลปศึกษาชั่วคราว ถึงมือตำรวจ สภ.เมืองนครราชสีมา

กำลังใช้ไม้เรียวหวายพันด้วยเทปพันสายไฟกระหน่ำตีก้นเด็กนักเรียนเกือบ 40 คนอย่างสุดแรงเกิด โดยอ้างว่า เด็กนักเรียนชายภายในหอพักของโรงเรียนไม่ทำความสะอาดหอพัก เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา

 แต่นักเรียนผู้เสียหายยืนยันว่า ได้ทำความสะอาดแล้วแต่ยังมีเศษขยะที่ไปกองรวมกันไว้รอที่จะใช้ที่ตักตักขยะไปทิ้ง แต่นายสมชายมาพบก่อนจึงคิดว่านักเรียนไม่ได้ทำความสะอาดจึงได้เรียกนักเรียนมาทำโทษทั้งหอทีละคนด้วยวิธีเฆี่ยนตี โดยมี นางปิยฉัตร ขาวนอก ครูสอนวิชาภาษาไทยชั้น ม.2 เป็นผู้ยุยง และ นายพะเยา อิติปิ ครูผู้ดูแลหอพัก ก็ร่วมเฆี่ยนเด็กด้วย แต่ด้วยท่าทางอากัปกิริยาที่ลงโทษเหวี่ยงไม้เรียวสุดแรงเกิด ทำให้นักเรียนคนหนึ่งสุดทนจึงใช้มือถือถ่ายคลิปไว้ และนำไปแจ้งต่อผู้ปกครอง

 จากหลักฐานทั้งหมดเจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งความและตั้งข้อกล่าวหานายสมชาย ผู้ก่อเหตุ ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 295 ทันที พร้อมครูผู้ร่วมกระทำผิดอีก 2 ราย และเมื่อวันที่ 2 กันยายน ผู้ถูกกล่าวหาตัดสินใจมารับทราบข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยนายสมชายอ้างว่า ทำไปเพื่อต้องการให้เด็กนักเรียนอยู่ในกฎระเบียบที่กำหนดไว้ และสิ่งที่ทำไปก็ด้วยความรักและอยากเห็นเด็กโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบเป็นคนดีของสังคม ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเพื่อการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่หากสิ่งที่ตนเองทำไปได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้ผู้ปกครอง ก็ยินยอมขอรับผิด และพร้อมที่จะขอขมากับผู้ปกครองของเด็กทุกราย รวมถึงอยากจะให้ผู้ปกครองขอเด็กทุกคนอโหสิกรรมให้สิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป

 แต่มีผู้ปกครองของเด็ก 4 คนได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน เพื่อไม่ให้คดีนี้เป็นตัวอย่างแก่สังคมต่อไป และภายหลังจากที่ทำการสอบสวนผู้เสียหาย พยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุ พิจารณาหลักฐานทุกอย่าง ส่งสำนวนคดีต่ออัยการเรียบร้อย ทางอัยการจังหวัดนครราชสีมาได้นำเรื่องยื่นฟ้องศาลแขวงนครราชสีมา ซึ่งศาลรับฟ้องและไต่สวนคดีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา

 โดยศาลใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการไต่สวนคดี และพิเคราะห์หลักฐาน ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอบันทึกภาพขณะหนึ่งในจำเลยกระทำความผิด พร้อมกับคำสารภาพจากปากของจำเลยทั้ง 3 ได้ข้อสรุปว่า จำเลยทั้ง 3 ทำผิดจริง จึงตัดสินจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 8,000 บาท แต่เนื่องจากผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และพร้อมที่จะมอบเงินเยียวยาให้ผู้เสียหายรวม 1.2 แสนบาท ศาลจึงให้รอลงอาญาไว้ก่อน 2 ปี โดยผลคำตัดสินของศาลสร้างความพอใจให้ผู้ปกครองของเด็กผู้เสียหายอย่างมาก

 หลังจากเกิดคดีอื้อฉาวครั้งนี้ หน่วยงานผู้ควบคุมดูแลโรงเรียนเอกชน อย่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 1 (สพท.นม.เขต 1) ได้เรียกประชุมด่วนคณะรองผู้อำนวยการ และหัวหน้ากลุ่มงานดูแลกำกับโรงเรียนเอกชนในสังกัด เพื่อกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลงโทษเด็กนักเรียนรุนแรงเกินกว่าเหตุอย่างที่ปรากฏเกิดขึ้นอีก โดยสพท.นม.เขต 1 ได้เรียกผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในสังกัดจำนวน 45 แห่ง เข้าอบรมและชี้แจงกฎระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการลงโทษเด็กของกระทรวงศึกษาธิการอย่างละเอียด และกำชับให้ปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด และจะแจ้งให้ผู้บริหารโรงเรียนเอกชนทุกแห่งได้รับทราบในการเรียกประชุมถกปัญหาการลงโทษเด็ก และหากพบว่าโรงเรียนเอกชนใดมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีกจะมีผลต่อการพิจารณารับรองคุณภาพสถานศึกษาที่จะมีการพิจารณาในทุกๆ ปี

 หวังว่า คดีนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่ย้ำเตือนให้สถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศหันมาใส่ใจเกี่ยวกับวิธีการลงโทษเด็กที่รุนแรงเกินกว่าเหตุมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะมีผลกระทบต่อผู้กระทำผิดแล้ว ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสถาบัน และวิชาชีพครูอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สถานศึกษาต่างๆ ต่องหาวิธีป้องกัน และสอดส่องดูแลตรวจสอบการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และครูในโรงเรียนมากขึ้นกว่าเดิม

    -  ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ  -