
รัษฎากรพิพัฒน์รางวัลต้นแบบแห่งธรรมาภิบาล
สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารอยู่เสมอๆ คงจะสังเกตเห็นได้นะครับว่า ในระยะสองสามปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ บ้านเมืองของเรามีการมอบรางวัลให้แก่ผู้ที่ทำคุณงามความดีและผู้ที่มีความสามารถในด้านต่างๆ อยู่เสมออย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ซึ่งรางวัลที่มอบให้ส่วนใหญ่แล้วหนีไม่พ้นหัวข้อหลักๆ สองด้าน คือด้านที่เป็นการสรรเสริญเชิดชูองค์กรหรือบุคคลที่กระทำคุณงามความดีให้แก่ชาติบ้านเมืองหรือสังคมโดยรวม กับอีกด้านคือเป็นการยกย่องชื่นชมองค์กรหรือบุคคลที่มีความสามารถ หรือจะเรียกเป็นภาษาง่ายๆ ไม่ต้องแปลก็คือเป็นช่วงเวลาของการประกาศเกียรติคุณให้แก่องค์กรหรือบุคคลสองด้าน คือด้านความเก่ง กับด้านความดีงาม
ว่าไปแล้วคุณสมบัติทั้งสองด้านนี้ต้องอยู่ควบคู่กันจึงจะสมบูรณ์ที่สุด เพราะองค์กรไหนหรือบุคคลไหนที่มีแต่คุณงามความดีอย่างเดียว แม้จะไม่ได้เป็นผลร้ายต่อใคร และอาจช่วยให้โลกสงบร่มเย็น แต่ในอีกแง่มุมก็คือการไม่มีวิวัฒนาการ การถดถอย การไม่สามารถนำพาให้ตัวเองอยู่รอดได้ ยิ่งถ้าเป็นองค์กรด้วยแล้วคงตกที่นั่งลำบาก แข่งกับใครเขาไม่ได้ เพราะอาจดีแต่ไม่เก่ง ในที่สุดก็มีอันต้องล้มหายตายจากไปตามกฎธรรมชาติ
แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือองค์กรหรือบุคคลที่มีแต่ความเก่งอย่างเดียวแต่ไร้ซึ่งความดีงาม เพราะนั่นย่อมสร้างปัญหาพิษภัยให้แก่ผู้คนรอบข้าง สังคม ประเทศ หรือแม้แต่โลกทั้งโลกได้อย่างมหันต์ ก็อย่างที่เห็นๆ กันอยู่เสมอมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มีรางวัลด้านคุณงามความดีเกิดขึ้นอีกหนึ่งรางวัล ชื่อรางวัล ”รัษฎากรพิพัฒน์” เจ้าของรางวัลคือกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง โดยรางวัลนี้มีเป้าหมายที่จะมอบให้แก่ผู้เสียภาษีที่ได้รับการคัดเลือกว่ามีการเสียภาษีในระดับที่ดีและมีคุณภาพ ควรค่าแก่การยกย่อง เพื่อให้ผู้เสียภาษีที่ถูกต้องซื่อสัตย์เหล่านั้นได้รับเกียรติ เกิดความภาคภูมิใจ เห็นถึงความสำคัญของการเสียภาษีที่มีผลอย่างยิ่งต่อความเจริญมั่นคงของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างให้แก่บุคคลอื่นหรือองค์กรอื่นเจริญรอยตาม
งานที่น่าสนใจนี้จัดขึ้นที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้มอบรางวัลให้ด้วยตนเอง และมีผู้รับรางวัลซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทห้างร้านต่างๆ และบุคคลเข้ารับมอบจำนวน 99 คน เป็นผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดา 20 ราย ผู้เสียภาษีนิติบุคคลรายจังหวัด 76 ราย และผู้เสียภาษีนิติบุคคลขนาดใหญ่ใน กทม. และปริมณฑลอีกเพียง 3 ราย ได้แก่ บริษัทซีพี ออลล์ หรือเซเว่น อีเลฟเว่น บริษัทไมครอส-ฟิเดลิโอ (ประเทศไทย) และบริษัทโคมัตสุ บางกอก ลิสซิ่ง
คำว่า ”รัษฎากรพิพัฒน์” นี้มีที่มายาวนาน คือเป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นเมื่อปี 2416 เพื่อใช้เป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งมีหน้าที่รวบรวมรายได้ของแผ่นดินที่กระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ให้มารวมอยู่ในหน่วยงานเดียว เพราะในสมัยโบราณ การเก็บภาษีจะกระจายตามกรมกองต่างๆ ทุกหน่วยงานต่างเก็บภาษีอากรเป็นของตนเอง เมื่อแต่ละหน่วยงานจัดเก็บรายได้แล้วจะมีการดำเนินการอีกหลายขั้นตอนกว่าจะส่งมาให้พระคลังมหาสมบัติ ทำให้เกิดการตกหล่น ไม่สามารถควบคุมได้ และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก รายได้ของรัฐลดน้อยลง ไม่เพียงพอต่อการนำมาพัฒนาประเทศ และด้วยพระปรีชาญาณแห่งพระองค์ได้ก่อให้เกิดการปฏิรูประบบการคลังครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้เงินภาษีไม่รั่วไหล ประเทศมีเงินได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และตรงตามเวลาที่กำหนด ทันการณ์และเพียงพอแก่การนำมาทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญมั่นคง
“ข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง” คือหนึ่งในพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนให้ผู้คนในสังคมได้นำไปปฏิบัติ เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบ เป็นการกำหนดการปกครองโดยอาศัยธรรมควบคู่ไปกับกฎหมายบ้านเมือง ด้วยมาตรการทางสังคมให้ลงโทษคนไม่ดี โดยการดูถูกเหยียดหยามประณามในสิ่งที่เขากระทำ ในทางตรงกันข้ามพึงยกย่องให้เกียรติคนทำความดี เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ทำดียิ่งๆ ขึ้น รางวัล” รัษฎากรพิพัฒน์” จึงนับเป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่งของภารกิจเพื่อสังคมที่หน่วยงานของรัฐสามารถริเริ่มและดำเนินการได้อย่างเต็มภาคภูมิ
บัญญัติ คำนูณวัฒน์