
วิชาคุก..สะเดาะประตูขโมย"ตู้เซฟ"ในโรงแรมหรู
กลอนประตูอันแน่นหนาภายในโรงแรมหรู ย่านสุขุมวิท มิอาจต้านทานวิชามารจากคุก "สะเดาะกลอนประตู" ซึ่งคนร้ายเคยเรียนรู้มาจากเรือนจำ และนำมาใช้ลักทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพื่อปลดหนี้ให้ตัวเอง แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาได้!!
ชาวอังกฤษครอบครัวหนึ่งเดินทางมาแล้วเข้าพักในโรงแรมหรูภายในซอยสุขุมวิท 11 กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แทนที่จะมีความสุขกับการมาเที่ยวพักผ่อนในเมืองไทย กลับต้องมาพบกับความทุกข์ใจ เมื่อกระเป๋าเดินทางสีน้ำเงิน และกล่องเซฟของโรงแรม ซึ่งบรรจุเงินปอนด์ มีมูลค่าประมาณเกือบ 8 หมื่นบาท รวมถึงเกมเพลย์สเตชั่นแบบพกพาของลูกชาย
กระเป๋าลากใบใหญ่ ได้อันตรธานหายไปจากห้องพัก
หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.สราวุธ จินดาคำ ผกก.สน.ลุมพินี พ.ต.ท.ปิโยรส กัณหะสิริ สว.สส. พร้อมฝ่ายสืบสวน เข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พร้อมทั้งขอดูภาพวิดีโอวงจรปิดทั้งหมด แต่ไม่พบการกระทำผิดของผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นไปได้ว่าคนร้ายค่อนข้างมีฝีมือเพราะไม่ได้ทำลายประตู อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ชุดสืบสวนดูภาพจากกล้องวงจรปิดหลายรอบ บังเอิญผู้เสียหายเห็นภาพชายไม่ทราบชื่อ 2 คนเดินเข้าไปในลิฟต์ โดยลากกระเป๋าเดินทางแบบล้อลากสีน้ำเงิน ผู้เสียหายยืนยันแน่ชัดว่ากระเป๋าเดินทางใบนี้เป็นของตน นั่นหมายความว่า กล่องเซฟต้องอยู่ภายในกระเป๋าเดินทางใบนั้น แต่ผู้ต้องสงสัยเข้าไปในห้องพักของผู้เสียหายได้อย่างไร?
ปริศนาคดีนี้ ชุดสืบสวนยังคงครุ่นคิดเพื่อคลายข้อสงสัย ประกอบกับพนักงานของโรงแรมยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คน เป็นคนไทยเข้ามาเปิดห้องพักได้ประมาณ 2 วัน ตอนแรกแจ้งว่าพักแค่วันเดียวแต่แล้ววันรุ่งขึ้นแจ้งว่าอยู่ต่ออีก 1 วันโดยจ่ายเป็นเงินสด แต่จู่ๆ ก็เช็กเอาท์ออกไปอย่างเร่งด่วน ซึ่งผู้ต้องสงสัยที่ลงทะเบียนเข้าพักในโรงแรมแห่งนี้ คือ นายประดิษฐ์ เบญจพรชัย อายุ 33 ปี แต่ผู้ต้องสงสัยพักอยู่คนละชั้นกับผู้เสียหาย เมื่อชุดสืบสวนตรวจสอบข้อมูลการลงทะเบียน พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้กับทางโรงแรม พบว่าข้อมูลบางส่วนเป็นข้อมูลปลอม!?
ชุดสืบสวนจึงทดลองตรวจสอบ "ชื่อ-นามสกุล" ตามข้อมูลการลงทะเบียน ผ่านระบบของประกันสังคม พบข้อมูลของนายประดิษฐ์ เคยทำหน้าที่ "รูมบอย" อยู่ที่โรงแรมขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมที่เกิดเหตุ โดยข้อมูลพนักงานในการกรอกแบบฟอร์มรับสมัครของที่ทำงานเก่าของนายประดิษฐ์ ระบุข้อมูลเพื่อนร่วมงานหรือญาติที่ติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน คือ นายเดชา ไกรแก้ว อายุ 28 ปี ซึ่งพักอยู่ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ภายในซอยสุขุมวิท 107 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ชุดสืบสวนจึงจัดกำลังสับเปลี่ยนซุ่มโป่งที่ห้องเช่าดังกล่าว จนกระทั่งพบตัวนายเดชา กำลังเดินทางออกมาเพื่อรอขึ้นรถแท็กซี่ โดยลากกระเป๋าเดินทางแบบล้อลากสีน้ำเงิน ซึ่งตรงกับภาพจากกล้องวงจรปิด จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำ พร้อมทั้งขยายผลจับกุมนายประดิษฐ์ พร้อมของกลางเครื่องมืองัดแงะ ลวดเหล็ก ถุงมือพลาสติก และกระเป๋าเดินทาง
นายประดิษฐ์รับสารภาพว่า อดีตเคยทำงานเป็นพนักงานโรงแรมหลายแห่ง บางครั้งเข้าไปทำความสะอาดห้องพักของนักท่องเที่ยว เห็นทรัพย์สินชิ้นเล็กที่พอมีค่าวางไว้ หรือเห็นเงินสดวางรวมไว้ ก็หยิบฉวยครั้งละ 100-200 บาท แต่พอมีหนี้สินก็หันมาลักทรัพย์ยกกล่องเซฟ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านพญาไท จนกระทั่งถูกจับ แล้วประกันตัวออกมาสู้คดี จึงไปก่อเหตุที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ใน จ.เชียงใหม่ จนกระทั่งถูกจับแล้วถูกอายัดตัว ระหว่างติดคุกในเรือนจำ นักโทษข้างในสอนให้รู้จักวิธีลักทรัพย์แบบต่างๆ พอพ้นโทษ ก็ได้มารู้จักกับนายเดชา
"ผมมีหนี้สิน นายเดชาก็มีหนี้สิน จึงชวนกันมาทำแบบนี้ เพราะหาเงินง่าย ซึ่งจะใช้วิธีปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาเปิดบริการห้องพัก หลังจากนั้นเข้าไปห้องพักที่เปิดไว้ วัดความสูง ลักษณะของประตูห้อง โดยนายเดชาคอยดูต้นทาง กรณีห้องพักของชาวอังกฤษ ประตูห้องแบบคีย์การ์ด แต่ที่จับประตูเป็นลักษณะเขาควาย (มีด้ามจับยื่นออกมาแล้วดึงลง) ก็ใช้วิธีต่อลวดเหล็กที่มีความแข็งแรงทำเป็นตะขอเกี่ยวตรงปลาย หลังจากนั้นสอดลวดเข้าไปบริเวณใต้ประตู จากนั้นก็เอาปลายตะขอเกี่ยวที่เขาควายบริเวณด้านใน หลังจากนั้นออกแรงดึงเล็กน้อยลักษณะทำเหมือนเปิดประตูจากด้านใน ซึ่งวันที่ก่อเหตุตอนแรกคิดว่าไม่มีเหยื่อ จึงจะเช็กเอาท์ออก แต่พอเดินดูตามชั้นเห็นชาวต่างชาติออกมาจากห้อง ก็เลยลงมือด้วยการโทรศัพท์ภายในไปที่ห้องนั้นว่ามีใครรับสายหรือไม่ พอไม่มีใครรับสายก็ลงมือทำแล้วรีบเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมทันที" นายประดิษฐ์กล่าว