
พม่า...
ประวัติศาสตร์พม่าในขณะที่อังกฤษยังปกครองพม่าอยู่ อังกฤษเคย จัดให้ พม่ามีประชาธิปไตยแบบฝึกหัดปกครองตัวเองมาแล้วหลายครั้ง
อย่างเช่น เมื่อก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษยอมให้มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาที่เป็นตัวแทนของคนพม่า แต่ต้องอยู่ใต้อำนาจของเจ้าเมืองที่เป็นคนอังกฤษ มีคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเป็นคนพม่า แต่กระทรวงสำคัญอย่างกลาโหม ต่างประเทศ และผู้ควบคุมตำรวจต้องเป็นคนอังกฤษเท่านั้น
ก็ไม่ทราบว่ารัฐธรรมนูญที่รัฐบาลทหารพม่า “จัดให้” คนพม่าปัจจุบันที่มีเงื่อนไขและข้อจำกัดคล้ายคลึงกันเช่นนี้ ได้ลอกเลียนเอามาจากอังกฤษหรือเปล่า
ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของพม่าระบุว่า เมื่อนายพลเนวินทำปฏิวัติในปีพ.ศ.2505 มีสาเหตุสำคัญที่รัฐบาลทหารพม่าอ้างก็คือ เพื่อป้องกันการแตกสลายของประเทศอันเนื่องมาจากความต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากพม่า ของชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย
รัฐธรรมนูญใหม่ที่สภาปฏิวัติของนายพลเนวินจัดตั้งขึ้น จึงมุ่งเน้นในความเป็นเอกภาพของพม่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยเฉพาะ และตามมาด้วยการปฏิบัติการกวาดล้างชนกลุ่มน้อย ซึ่งมีแนวคิดนี้อย่างเข้มงวดเด็ดขาดในเวลาต่อมา
จะเช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลทหารพม่ากำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันนี้หรือเปล่า ที่หลังจากการเลือกตั้งแบบ “จัดให้” นี้แล้วจะมีการปฏิบัติการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยที่ติดอาวุธอย่างครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ในอดีตของพม่าเมื่ออังกฤษเข้าปกครอง ได้แบ่งประเทศพม่าออกเป็น 2 ส่วนตามแนวที่อังกฤษถนัด คือแบ่งแยกและปกครอง ประเทศพม่าจึงได้ตกอยู่ในความแตกแยกอ่อนแอตลอดมา อันเนื่องมาจากกลุ่มชนในชาติที่มีความแตกต่างกันมาก ทั้งในด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ความเป็นมา
และที่อังกฤษรู้จักประวัติศาสตร์พม่าดีก็คือว่า ชนกลุ่มน้อยหรือที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่า กลุ่มชาติพันธุ์นั้น ทั้งมอญ กะเหรี่ยง (คะฉิ่น/ฉิ่น) ยะไข่ (อาระกัน/โรฮิงญา) ไทยใหญ่ (ฉาน) และอื่นๆ ถ้าเลือกได้ก็แทบจะไม่มีกลุ่มใดที่อยากอยู่กับพม่า
ปัญหาของพม่าที่อังกฤษทิ้งไว้ให้ จึงอยู่ที่ปัญหาความแตกแยกภายในประเทศเป็นสำคัญ ด้วย “กลุ่มประชากรที่ไม่ใช่พม่า” นี้ อยู่ปะปนทั่วไปกับชาวพม่าตลอดไปทั่วทั้งประเทศ อย่างแยกกันไม่ออก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศพม่าเคยมีวีรบุรุษอย่างนายพลออง ซาน (บิดาของนางออง ซาน ซูจี) กับพวกกลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญสัญญาให้ชนกลุ่มน้อยอย่างไทยใหญ่กะเหรี่ยงมีฐานะเป็นรัฐปกครองตนเองได้ในระดับหนึ่ง ซ้ำยังได้ให้สัญญาไว้ด้วยอีกว่า จะยอมให้แยกตัวเป็นอิสระออกจากพม่าได้ในอนาคตหลังจากที่พม่าได้เอกราชแล้วในระยะหนึ่ง
แต่แล้วนายพลออง ซาน กับพวกกลุ่มนี้ก็ต้องมาถูกฆ่าตายด้วยฝีมือการลอบสังหารของคนพม่าด้วยกันเอง ก็เท่ากับว่าเป็นการดับฝันของชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในพม่าลงไปด้วย นางออง ซาน ซูจี ตอนนั้นเพิ่งจะมีอายุได้ 2 ขวบ
กล่าวกันว่าพม่าเป็นประเทศที่ประสบกับปัญหาแตกแยกสาแหรกขาดทางการเมืองมานับแต่บัดนั้น และรัฐบาลทหารพม่าไม่ว่าจะในยุคใดก็มักจะปกครองชนกลุ่มน้อยทั้งหลายอย่างกดขี่โหดร้ายทารุณไม่ต่างกัน
ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อนางออง ซาน ซูจีได้รับอิสรภาพคราวนี้เธอจึงได้เรียกร้องเรื่องความสมานฉันท์ปรองดองภายในชาติเป็นสำคัญ
ปัญหาความแตกแยกร้าวรานในพม่า ไม่ใช่เรื่องไร้เดียงสาแบบเหลืองแดงในบ้านเรา ก้าวย่างทางการเมืองของนางออง ซาน ซูจี จึงเต็มไปด้วยขวากหนามและอันตรายยิ่ง ทั้งจากชนกลุ่มน้อย และจากพม่าด้วยกันเอง
บทเรียนจากนายพลออง ซาน ผู้เป็นบิดาจึงนับว่าสำคัญยิ่ง