ข่าว

ชินวรณ์ชี้ไม่จำเป็นต้องแก้กม.ทำแท้ง

ชินวรณ์ชี้ไม่จำเป็นต้องแก้กม.ทำแท้ง

24 พ.ย. 2553

พระพรหมวชิรญาณกรรมการมส.แนะถือศิล 5 ดำเนินชีวิต ส่วนจะเผา-ฝั่งศพทารก 2002 ศพ หลักพุทธฯไม่มีบัญญัติ “ชินวรณ์” ชี้ไม่จำเป็นต้องแก้ กม. ทำแท้ง ระบุเตรียมวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อมากำหนดนโยบายใช้สอนเพศศึกษา ครอบครัวศึกษา

เมื่อวันที่ 24 พ.ย.พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวถึงกรณีการทำแท้งศพทารก จำนวน 2002 ศพว่า ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่าการทำแท้งเป็นบาป เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผิดศีล 5 โดยเฉพาะการฆ่าผู้ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองยิ่งบาปหนักมากขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม อยากให้เด็กและเยาวชน รวมถึงพุทธศาสนิกชนยึดหลักศีล 5 ในการดำเนินชีวิต จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ส่วนการเผาหรือฝังศพของทารกนั้น ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้วไม่มีกำหนดว่าจะให้เผาหรือฝัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล

 “ชินวรณ์”ชี้ไม่จำเป็นต้องแก้กม.ทำแท้ง

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวถึงกระแสเรียกร้องกฎหมายทำแท้งเสรีหลังเกิดเหตุพบซากศพเด็กทารกจำนวนมากที่เกิดจากการทำแท้งบริเวณที่เก็บศพของวัดไผ่เงิน ว่า กรณีเด็กตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร และเกิดจากความไม่พร้อมเป็นปัญหาสังคม ซึ่งมีข้อมูลตัวเลขยืนยันชัดเจน แม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์พบซากศพเด็ก ทั้งนี้ การแก้ปัญหาจะต้องทำทุกภาคส่วนของสังคม ขณะเดียวกันก็มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการอยู่แล้ว โดยในกระบวนการศึกษา ศธ.จะนำข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดนโยบายที่จะใช้ในการเรียนการสอนเพศศึกษา ครอบครัวศึกษา

  ขณะเดียวกันก็ต้องสอนให้เด็กรู้จักคิดเป็น ทำเป็น แก้ไขปัญหาเป็น ตามนโยบายปฏิรูปการศึกษา ทศวรรษที่ 2 ซึ่งได้กำหนดให้มีความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของประเทศ เพื่อจะได้นำมาสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คุณภาพการศึกษาได้ตรงจุด อย่างไรก็ตาม ได้มอบให้สำนักส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) เร่งดำเนินการขับเคลื่อนการรณรงค์สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับเยาวชนอย่างทั่วถึงและร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนทั้ง

 “การแก้ปัญหาดังกล่าวมีกฎหมายที่ใช้ดำเนินการแก้ไข มีการผ่อนผันสำหรับคนที่มีปัญหาสุขภาพ และไม่พร้อมด้วยเหตุจำเป็นซึ่งถือว่ามีความยืดหยุ่นแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องแก้ไขอีก เพียงแต่ทุกฝ่ายของภาคสังคมไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานต่าง ๆ ของราชการ ครอบครัวจะต้องร่วมกันรับผิดชอบจริงจังต่อไป”นายชินวรณ์ กล่าว