
ทลายโกดังยาเถื่อนยาแท้งไวอากร้าอื้อ
แจ๊ค-จิลล์เลี้ยงกุมารทองไปวัดไผ่เงิน "องอาจ"มอบพศ.เร่งหาข้อสรุปวิธีดำเนินการกับซากทารกกว่า 2 พัน คาดได้คำตอบจันทร์หน้า เผยวัดญวนเสนอตัวขอร่วมสวดทำบุญให้วันที่ 28 พ.ย.นี้
(23พ.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าทลายโกดังเก็บยาทำแท้งเถื่อน บริเวณ อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น เลขที่ 21/61 ซอยหนองใหญ่ ย่านบางแค พบของกลาง มียาชนิดที่ทำให้แท้งจำนวนมาก อาทิ ยาไซโตลอค ยาเอนทีคิว ไวอากร้า และกลุ่มยาลดความอ้วน ยี่ห้อ ลีดั๊กติ้ว เป็นต้น รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ซึ่งอาคารดังกล่าวนั้น ได้ลักลอบนำยาดังกล่าว มาจากต่างประเทศ และมาบรรจุแบ่งขาย กระจายไปตามร้านขายยา และคลินิกที่รับทำแท้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ ตำรวจได้ควบคุมตัวเจ้าของอาคาร ไปสอบปากคำ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม การจับกุมครั้งนี้ เป็นผลมาจาก การพบศพทารกถูกทิ้งในวัดไผ่เงิน จำนวนมาก ซึ่งมาจากการทำแท้ง เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนขยายผล คลินิกทำแท้งและร้านขายยา ที่จำหน่ายยาผิดกฎหมาย และการทลายครั้งนี้ ถือเป็นการตัดวงจรการทำแท้งไปได้ส่วนหนึ่ง
ตร.เรียกสอบแม่-น้องมือทำแท้ง
เมื่อเวลา 13.00 น.ทางพนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ได้เชิญตัวนางสมบัติ สิโนทก อายุ 60 ปี และ น.ส.กชกร หรือ “เบญ” เนตรสูงเนิน อายุ 31 ปี ทั้งสองอยู่บ้านเลขที่ 6/5 หมู่ 4 ต.บางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม และเป็นแม่กับน้องสาวของ น.ส.ลัญฉกร หรือ “โกะ” จันทมนัส มาทำการสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สน.วัดพระยาไกร
นางสมบัติ กล่าวยืนยันว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ตนทำงานเป็นอาสาสมัครตระเวนรับจ้างล้างไตให้กับผู้ป่วยตามบ้าน ได้เงินเดือนๆ ละ 15,000 บาท แต่ปัจจุบันทำอาชีพรับซื้อกะลามะพร้าวเพื่อนำไปแปรรูปส่งต่อให้โรงงานทำผลิตภัณฑ์ โดยปกติจะพักอาศัยอยู่บ้านที่ จ.นครปฐม และจะเดินทางเข้ามาที่ กทม.บ้างเป็นบางครั้ง และจะเจอหน้า น.ส.ลัญฉกร เดือนละประมาณ 2 ครั้ง ส่วนคลินิกมวลชนการแพทย์ ย่านหนองแขม ที่ลูกสาวถูกตำรวจบุกจับนั้น ก็เคยเข้าไป แต่จะอยู่เฉพาะชั้นล่างเท่านั้น ไม่เคยขึ้นไปชั้นบนแต่อย่างใด โดยทราบเรื่องว่า ลูกสาวถูกตำรวจจับกุม ก็เพราะ น.ส.กชกร เป็นคนมาบอก
นางสมบัติ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ นายสุชาติ ผู้ช่วยสัปเหร่อวัดไผ่เงิน อ้างว่า เคยเห็นตนเป็นผู้ช่วยพยาบาลบ้าง หรือขี่รถ จยย.นำศพเด็กทารกไปทิ้งบ้างนั้น ตนยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยเป็นผู้ช่วยพยาบาล อีกทั้งตนก็ขับขี่รถ จยย.ไม่เป็น ส่วนเรื่องที่มีข่าวว่าตนรับเลี้ยงเด็กที่อาจจะถูกทำแท้งแล้วไม่เสียชีวิตไว้หลายคนนั้น ยอมรับปัจจุบัน ตนกับ น.ส.ลัญฉกร รับเลี้ยงเด็กไว้ทั้งหมด 7 คน โดยอาศัยอยู่กับตน 4 คน ส่วนอีก 3 คน น.ส.ลัญฉกร เป็นคนเลี้ยงไว้ โดยตอนแรกที่ น.ส.ลัญฉกร นำเด็กมาฝากไว้ให้ตนดูแลนั้น ตนก็ไม่ได้ถามถึงที่มาที่ไปแต่อย่างใด ไม่เคยสงสัยด้วยว่าเป็นเด็กที่ถูกทำแท้งหรือไม่ และที่ผ่านมา น.ส.ลัญฉกร ก็ไม่เคยส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้แต่อย่างใด ตนเป็นคนออกเองทั้งหมด กรณีที่ น.ส.ลัญฉกร ลูกสาวถูกจับและมีข่าวพาดพิงมาถึงตนนั้น ตนเห็นว่า ลูกสาวคงคิดถึงตนเป็นคนแรกก็อาจจะพูดถึงตนขึ้นมา แต่ไม่ใช่เป็นการซัดทอดแต่อย่างใด “ขอพูดสั้นว่า ลัญฉกร ช่วยเก็บขยะสังคม ซึ่งแม่ก็รู้สึกภูมิใจที่ลูกช่วยเก็บขยะสังคม” นางสมบัติ กล่าวยืนยันเมื่อถูกถามว่า อยากจะฝากอะไรผ่านสื่อหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก นางสมบัติ พูดจบแล้วนั้น น.ส.กชกร ที่นั่งอุ้มลูกอยู่ใกล้กันได้ลุกขึ้นมาสวมกอดร่ำไห้กับนางสมบัติ พร้อมกับกล่าวขอร้องสื่อมวลชนทั้งน้ำตา ว่า อยากขอร้องให้สื่อหยุดนำเสนอข่าวนี้ได้แล้ว เพราะครอบครัวของตนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ถูกตราหน้าจากสังคม ทั้งๆ ที่พวกตนไม่ได้เป็นฝ่ายกระทำ เด็กๆ ที่รับเลี้ยงไว้เคยรู้อยู่ว่า พี่สาวตนเป็นแม่ แต่พอข่าวนี้ออกไปก็ทำให้เด็กๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ได้รับรู้ว่าพี่สาวไม่ใช่แม่ที่แท้จริง และถูกเพื่อนๆ ล้อเลียน ทั้งที่ต้นเหตุไม่ได้เกิดจากพี่สาวของตน ส่วนแม่ตนก็เหนื่อยมามากพอแล้ว จึงขอให้เรื่องจบเพียงแค่นี้
ด้าน พ.ต.อ.เมธี รักพันธุ์ ผกก.สน.วัดพระยาไกร กล่าวว่า ในวันนี้ได้เรียกบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบปากคำในฐานะพยาน ว่า มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ รวมทั้งประเด็นเรื่องของเด็กที่ น.ส.ลัญฉกร นำมาฝากเลี้ยงไว้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เพื่อนำมาประกอบสำนวน ซึ่งจากการสอบปากคำทั้งคู่ก็ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำแท้ง แต่ยอมรับว่าได้รับเลี้ยงดูแลเด็กไว้จริง
พ.ต.อ.เมธี กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ จะให้พนักงานสอบสวนเดินทางไปสอบปากคำ น.ส.ลัญฉกร ที่เรือนจำ ในประเด็นเรื่องที่ว่า เด็กที่รับเลี้ยงไว้นั้น มีการจดทะเบียนแจ้งเกิดไว้ที่ไหน ใครเป็นพ่อแม่ ส่วนเรื่องการออกหมายจับนางสมบัตินั้น จะต้องพิจารณาพยานหลักฐานว่า มีน้ำหนักน่าเชื่อมากน้อยเพียงใด จากนั้นก็จะนำบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบปากคำเพื่อหาข้อเท็จจริง ก่อนจะดำเนินการต่อไป
แจ๊ค-จิลล์เลี้ยงกุมารทองไปวัดไผ่เงิน
เมื่อเวลา 12.00 น. นายจักรพันธ์ การสมพรต และ นายจักรพงศ์ การสมพรต อายุ 38 ปี หรือ “แจ๊ค-จิลล์” อดีตดารานักร้องฝาแฝดผู้นิยมชมชอบการเลี้ยงกุมารทองนับพันไว้ที่บ้านจนเป็นข่าวโด่งดัง ได้พากันเดินทางมาที่วัดไผ่เงินโชตนาราม เพื่อขอเข้าพบ พระทิวา ธมฺมชโย เลขานุการพระครูวิจิตรสรคุณ เจ้าอาวาส เพื่อสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับวิธีการฌาปนกิจซากทารกทั้ง 2,002 ศพ
นายจักรพันธ์ แฝดผู้พี่กล่าวว่า ก่อนที่วัดแห่งนี้จะเป็นข่าวพบซากทารก 348 ศพ เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมาตนเคยนอนฝันเห็นเด็กๆ มาวิ่งเล่นซุกซนครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เอะใจคิดว่าลูกๆ กุมารนับพันตัวที่บ้านคงมาหยอกเล่นกันตามปกติมา พอมีข่าวออกมาจึงคิดได้ว่าน่าจะเป็นการแจ้งเตือนให้เดินทางมาทำบุญ ซึ่งตนและนายจักรพงศ์ แฝดผู้น้องก็เฝ้ารอให้เรื่องเงียบอยู่ประมาณ 3-4 วัน จึงตัดสินใจเดินทางมาไม่คิดว่าจะมีนักข่าวมาติดตามความคืบหน้าที่วัดอีก ส่วนเหตุผลที่มาในวันนี้เพื่อติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องการจัดการกับศพทารกทั้งหมด ทั้งนี้ในฐานะที่ตนศึกษาเรื่องกุมารทองมานาน ขอยืนยันว่าศพเหล่านี้ไม่สามารถเผาได้เนื่องจากเขาตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาโดยหลังจากนี้หากมีการสั่งให้เผา ตนขอยืนยันว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวาย วิญญาณทารกทั้งหมดจะแสดงความเฮี้ยนให้เห็นอย่างแน่นอน
"ผมอยากจะแนะนำผ่านทางเลขานุการท่านเจ้าอาวาสไปว่า ทางที่ดีที่สุดน่าจะนำซากทั้งหมดมาฝังไว้ที่จุดเดิม หากทำไม่ได้ก็ต้องสร้างสถานที่ให้พวกเขาอยู่เพราะเขาจะไม่ไปไหนไม่อยากให้น้องๆ เหล่านี้อยู่ในสภาพเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปตามหลอกหลอนชาวบ้านจนเป็นบาปติดดวงวิญญาณไปอีก หากทางคณะกรรมการยินยอมให้ทำพิธีฝังซากทั้ง 2,002 ศพไว้ที่วัด หรือจะจัดสร้างศาลเอาไว้ให้เด็กๆ ด้วยก็จะดีมาก ตนและน้องชายยินดีที่จะให้ความร่วมมือออกทุนทรัพย์และจัดหาเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นมาให้แก่ทางวัด หากจะทุบโกดังเก็บศพปรับสภาพภูมิทัศน์ให้เป็นศาสนสถานอย่างอื่นก็อยากให้แบ่งปันพื้นที่บางส่วนให้กับเด็กๆ เหล่านี้ได้พักพิงบ้าง " นายจักรพันธ์กล่าว
ด้าน นายจักรพงศ์ แฝดผู้น้อง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า วันนี้นำกุมารทองตัวโปรดของหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม มาด้วยเพื่อเป็นตัวแทนสื่อสารกับดวงวิญญาณว่าผม 2 คนมาดีนะ อยากบอกว่าวิญญาณน้องๆ ทั้ง 2,002 ศพไม่ไปไหนแน่ความต้องการของพวกเขาคือตามหาแม่ผู้ให้กำเนิด โชคดีที่สัปเหร่อผู้ต้องหาไม่นำไปทำลูกกรอกขายพวกคลั่งไสยศาสตร์ซึ่งเวลานี้นิยมมาก ถึงขั้นมีใบสั่งจากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง แม้แต่สหรัฐอเมริกา ให้ลักลอบนำเข้าไปกับซากปลาแห้งเพื่อไปทำเป็นกุมารบูชาขอโชคลาภการค้าขาย สนนราคาค่าจ้างศพละถึง 100,000 บาท นอกจากนี้ตนเชื่อว่า ซากทารกทั้ง 2,002 ศพ ต้องไม่ได้เกิดจากครรภ์มารดาชาวไทยเพียงชาติเดียวเนื่องจากขณะนี้บ้านเรามีปัญหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาทำงานจำนวนมาก เมื่อแรงงานเหล่านี้ตั้งท้องก็ตัดสินใจทำแท้งเพื่อให้ได้ทำงานต่อ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดที่มีท่าเรือสามารถเดินทางไปสืบหาข้อมูลได้เลย
“ผมกับพี่แจ๊คศึกษาเรื่องการเลี้ยงกุมารทองและลูกกรอกมานานกว่า 30 ปี ทุกวันนี้ทราบดีว่าสถิติการทำแท้งของวัยรุ่นไทยสูงขึ้นมาก ผู้หญิงที่ผมเคยรู้จักบางคนผ่านการทำมาแล้วถึง 7 ครั้ง ไม่รู้ว่าเขามีชีวิตรอดอยู่จนถึงปัจจุบันได้อย่างไร อยากให้ทุกภาคส่วนร่วมกันปลูกฝังค่านิยมให้เยาวชนหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แบบจริงจังเสียที อย่ามัวเสียเวลาไปโทษใครอีกเลย” นายจักรพงศ์ กล่าว
ด้าน พระทิวา ธมฺมชโย เลขานุการเจ้าอาวาส กล่าวว่า เท่าที่ศึกษาตามหลักของพระพุทธศาสนาไม่ได้มีกำหนดไว้ว่าจะให้ดำเนินการกับศพทารกที่ถูกทำแท้งอย่างไร แต่เท่าที่รู้มาบ้างก็คือก้อนเลือดในครรภ์มารดาถือเป็นมนุษย์มีชีวิตแล้วมีลมหายใจและยังมีศีลบริสุทธิ์ หากเกิดเสียชีวิตในครรภ์ตามโบราณจึงเชื่อว่าไม่มีใครกล้าเผาเนื่องจากหาผู้ครองศีลบริสุทธิ์มาทำพิธีเผาไม่ได้อาจเกิดอาเพศแก่ผู้ลงมือทำ อย่างไรก็ตามการจัดการเรื่องศพคงต้องรอคำแนะนำจากสำนักพระพุทธศาสนาซึ่ง นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก ได้เสนอเรื่องไปสอบถามแล้วว่าจะให้จัดการอย่างไรเพื่อไม่ให้ขัดต่อความเชื่อของคนไทยโดยสถาบันนิติเวช รพ.จุฬาฯ จะเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนเรื่องปรับสภาพภูมิทัศน์จะต้องทำอยู่แล้วเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า เกิดเรื่องราวอาถรรพ์เกี่ยวกับซากทารกทั้งหมดภายในวัดหรือไม่ พระทิวา ตอบว่า ตามวินัยสงฆ์บัญญัติไม่ให้พระถ่ายทอดเรื่องนี้เนื่องจากเป็นเรื่องต้องอาบัติแต่หากจำกันได้เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันที่พบซาก 348 ศพแรกก่อนหน้านั้นฝนหยุดตกไปนานแล้ว แต่หลังจากที่หน่วยกู้ภัยมานำร่างทั้งหมดออกจากช่องเก็บศพหมายเลข 17 ปรากฏว่า 3 ทุ่มคืนเดียวกันเกิดพายุฝนตกหนักราวกับเบื้องบนต้องการชะล้างอะไรบางอย่างให้หมดไปจากวัด อย่างไรก็ตามมีเจ้าหน้าที่วัดมาให้ข้อมูลว่าเจออาถรรพ์อยู่หลายเรื่องเหมือนกันแต่อาตมาคงพูดไม่ได้ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ โยมลองนึกเองแล้วกันว่าหลังทำความสะอาดเก็บกวาดขยะเมื่อคืนนี้เจ้าหน้าที่พบกล่องนมถูกดูดน้ำนมจนหมดไปแล้วจำนวนหลายกล่อง ก็ยังไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาพิสูจน์เรื่องนี้ทั้งที่ไม่มีสุนัขในวัดตัวใดใช้หลอดดูดนมเป็น
ถามว่าหลังเกิดเรื่องขึ้นมีผู้ใดติดต่อมาแสดงตัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับศพที่พบบ้างหรือไม่ เลาขานุการเจ้าอาวาส ตอบว่า มีคนโทรศัพท์เข้ามาปรึกษา 2-3 ราย แสดงตัวว่าเคยไปทำแท้งลูกในครรภ์มาก่อน พร้อมสอบถามอาตมาว่า ควรทำอย่างไรเพราะสงสัยว่าลูกตัวเองจะถูกซุกอยู่ในโกดังที่วัด อาตมาเลยตอบไปว่า ให้โยมมาจุดธูปสอบถามลูกตัวเองและให้เดินทางมาร่วมทำบุญครั้งยิ่งใหญ่กับทางวัดในวันเสาร์ที่ 27 พ.ย.นี้
มอบพศ.หาข้อสรุปวิธีจัดการซากทารก
เมื่อเวลา 12.00 น. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) มาหารือถึงการดำเนินการพิธีการทางศาสนากับซากทารก จำนวน 2,002 ศพ ที่วัดไผ่เงิน
ภายหลังการหารือเป็นเวลา 30 นาที นายองอาจ กล่าวว่า การหารือเบื้องต้นยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะดำเนินการอย่างไรกับซากทารกทั้งหมด ตนจึงทำหนังสือให้พศ. ไปประชุมหาข้อยุติเรื่องนี้ และนำคำตอบที่ชัดเจนมาแจ้งให้ตนทราบในวันที่ 29 พ.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม โดยปกติ ตามพิธีการศาสนาพุทธจะใช้วิธีฌาปนกิจ แต่หลายคนบอกว่าซากทารกที่ยังไม่กำเนิดมานั้น โบราณเชื่อว่าไม่ควรเผา แต่ต้องดำเนินการอย่างอื่น จึงให้พศ.ไปหาวิธีที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เป็นที่กังวลของฝ่ายต่างๆ แต่เบื้องต้นมีการเสนอมาทั้งวิธีเผาและฝัง ทั้งนี้ ภายหลัง พศ.ให้คำตอบที่ชัดเจนมาที่ตนแล้ว จะประสานสำนักนิติเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ว่ากระบวนการพิสูจน์ซากทารกจะใช้เวลานานเท่าใด เพื่อกำหนดวัน-เวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการพิธีทางศาสนาต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการทั้งหมดไม่กระทบต่อการจัดพิธีทำบุญในวันที่ 27 พ.ย.นี้ เพราะการทำบุญไม่จำเป็นต้องนำซากทารกมาแสดง และล่าสุด ตนได้รับการติดต่อจากพระญวน นิกาย อานัมนิกาย ว่าจะขอมาร่วมสวดทำบุญให้ในวันที่ 28 พ.ย.นี้ด้วย
ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนันท์ ผอ.สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักพุทธศาสนาฯจะเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณประเพณีว่าจะดำเนินการอย่างไรกับซากทารก แต่ไม่จำเป็นต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์มาหารือ แต่โดยความเชื่อของศาสนาฮินดู ถ้าเป็นศพทารก จะไม่ใช้วิธีเผาเพราะถือเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่จะใช้วิธีฝัง เช่นเดียวกับในภาคอีสาน ที่มีความเชื่อว่าถ้ามีเด็กอายุไม่ถึง 12 ปี จะถูกนำไปฝัง รอจนครบอายุวัยรุ่น จึงจะถูกขุดขึ้นมาเผา นอกจากนี้ จากการสอบถามวัดให้หลักการว่าไม่ว่าจะเป็นศพเด็ก หรือผู้ใหญ่ หากเป็นการตายที่ไม่ผิดธรรมชาติ ต้องมีใบมรณบัตร และมีเจ้าของศพมาแสดงตนเพื่อตกลงว่า จะให้วัดดำเนินการพิธีทางศาสนาในรูปแบบใด แต่กรณีนี้ไม่ทราบจริงๆว่าต้องทำอย่างไร แต่ปกติในส่วนศพไม่มีญาติ เมื่อสำนักนิติเวชชันสูตรศพเสร็จ ก็จะเก็บศพไว้ระยะหนึ่ง รอญาติมาติดต่อ ถ้าไม่มีใครมาติดต่อ ก็จะส่งมอบให้มูลนิธิหรือญาปนสงเคราะห์นำศพไปเก็บไว้ โดยไม่มีการพูดถึงเรื่องการทำลายศพ เพราะตำรวจอธิบายว่าศพที่ตายผิดธรรมชาติ ถือเป็นของกลาง ไม่สามารถทำลายได้