
เรือนชานบ้านเมือง-การปราบ เบ้งเฮ็ก โจรใต้ของ จ๊กก๊ก (1)
ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยข่าวคราวทางเศรษฐกิจขาลง บรรยากาศดูมืดมนอึมครึมไม่ใคร่จะสู้ดีนัก ตัวเลขในภาพรวมที่ติดลบกันทั้งกระดาน สะท้อนให้เห็นถึงการถดถอยตัวของสภาพเศรษฐกิจรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการส่งออก
ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดถึงการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะเราพึ่งพาการส่งออกกว่า 70%-80% (ยิ่งปัจจุบันการส่งออกติดลบไปแล้วกว่า 30%) ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็อย่าไปฝากชีวิตและอนาคตไว้กับสภาพเศรษฐกิจประเภท 3 วันดี 4 วันไข้ของต่างชาติเลยครับ
ผมเองมีประสบการณ์ที่ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาอย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ที่หนักหนาสาหัสสุดๆ แบบลืมไม่ลงในชาตินี้ เห็นจะเป็นในยุควิกฤติ “ต้มยำกุ้งดีซีส” ที่เราถูกโจมตีค่าเงินบาทจนแทบจะเอาตัวไม่รอด โดยบรรดากองทุนต่างชาติที่มุ่งทำกำไรระยะสั้น แบบมาเร็วไปเร็ว พังเร็ว ภายใต้การชี้นำของพ่อมดแห่งเงินตราระดับโลก คือ จอร์จ โซรอส เป็นผลให้คนไทยตกงานในเวลาเพียงช่วงข้ามคืนหลายล้านคนครับ และยังส่งผลให้ธุรกิจประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเราล้มครืนลงชั่วพริบตาเช่นกัน
ทั่วโลกเรียกวิกฤติการเงินนี้ว่า “ต้มยำกุ้งดีซีส” แต่จะว่าไปแล้ววิกฤติในครั้งนั้น ตามความคิดของผมเชื่อว่ายังไม่รุนแรงได้ครึ่งของวิกฤติการณ์ “แฮมเบอร์เกอร์ดีซีส” ที่กำลังเกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะในช่วงของ “ต้มยำกุ้งดีซีส” นั้นได้ก่อให้เกิดผลกระทบในวงแคบๆ ในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ “แฮมเบอร์เกอร์ดีซีส” ในครั้งนี้มิได้เกิดขึ้นที่ เมืองบางกอก แต่เกิดขึ้นที่ มหานครนิวยอร์ก อันเป็นศูนย์กลางทางการเงินของทุนนิยมโลก แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ไม่มีใครกล้าฟันธงลงไปชัดๆ ว่าวิกฤติการณ์การเงินครั้งนี้จะรุนแรงแค่ไหนและจะกินเวลายืดเยื้อยาวนานสักเท่าไร
แต่ที่แน่ๆ เวรกรรมตามทันครับ พวกกองทุนต่างๆ ที่เคยโจมตีค่าเงินบาท ต่างประสบกับการขาดทุนย่อยยับ ล้มหายตายจากกันไปเป็น “กงกรรมกงเกวียน” กรรมใดใครก่อก็รับกรรมนั้นคืนสนองกลับไป ดังนั้น ในส่วนตัวผมจึงเห็นว่า ควรที่จะเลิกไปหวังพึ่งหรือไป ฝากชีวิตและอนาคตกับปัจจัยที่อยู่ไกลตัว อีกทั้งยังไม่สามารถควบคุมหรือคาดเดาได้ สู้หันมาทำให้บ้านของเรามีเสถียรภาพมั่นคงและมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเพื่อให้พวกเราชาวไทย “อยู่เย็นเป็นสุข” กันดีกว่า
ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้ผมมีเวลาว่างอ่านหนังสือที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะวรรณกรรมตะวันออก การได้กลับมาอ่านมหากาพย์ “สามก๊ก” แบบเน้นรายละเอียด ซึ่งทั้ง สามก๊กใหญ่ๆ ที่ทำการรบพุ่งกันประกอบไปด้วย “จ๊กก๊ก” ซึ่งเป็นก๊กของ ท่านเล่าปี่ ได้ลงหลักปักฐานได้มั่นคงในดินแดนเสฉวน และ “ง้อก๊ก” ของ ท่านซุนกวนพยัคฆ์แห่งกังตั๋ง อยู่ในบูรพาทิศ มีชัยภูมิเป็นเลิศ มีแม่น้ำแยงซีอันกว้างใหญ่เป็นป้อมปราการทางธรรมชาติขวางกั้นทำให้ใครคิดจะรุกรานทำได้ยาก ส่วนก๊กสุดท้าย คือ “จุยก๊ก” ที่อุดมสมบูรณ์อยู่ในทิศอุดร มี โจโฉ เป็นผู้นำ
ตอนสำคัญที่ผมสนใจเป็นพิเศษตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับการศึกสงครามของ สามก๊ก คือ การปราบเบ้งเฮ็กของท่านกุนซือจูกัดเหลียงขงเบ้งแห่งเขาโงลังกั๋ง เบ้งเฮ็กนั้น เป็นเจ้าเมือง มันอ็อง ที่อยู่ทางทิศทักษิณของ “จ๊กก๊ก” หากเปรียบแคว้น “จ๊กก๊ก” คือสยามประเทศส่วนดินแดน “มันอ็อง” ก็เปรียบได้กับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ ท่านขงเบ้ง ได้ฟันธงลงไปว่า หากไม่สามารถเอาชนะเบ้งเฮ็กแห่งมันอ็องได้แล้วก็ยากที่จะคิดการใหญ่ ที่จะทำการรวบรวมแผ่นดินตงง้วนให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง มั่งคั่งและมีเสถียรภาพ
กำลังจะได้สาระแต่พื้นที่หมดครับเอาไว้ต่อสัปดาห์หน้ามาดูว่าจะปราบโจรใต้ในสไตล์ของ ท่านขงเบ้ง จะทำอย่างไร แล้วเราจะนำเอายุทธวิธีของ ท่านขงเบ้ง มาประยุกต์ใช้กับการปราบโจรใต้ของ “สยามก๊ก” เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขกันเสียทีได้อย่างไรครับ
ภัทรพล เวทยสุภรณ์