
"แนวรบตะวันตก"ร้อนฉ่าพม่าลั่นกลองรบกะเหรี่ยง
7 พฤศจิกายน 2553 วันเลือกตั้งภายในพม่า แต่หลายฝ่ายต่างวิเคราะห์และฟันธงล่วงหน้าว่า การเลือกตั้งในรอบ 20 ปีของพม่าจะไม่นำไปสู่ประชาธิปไตย ทั้งยังจะทำให้พม่าเร่งปราบปรามชนกลุ่มน้อยรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งชนกลุ่มน้อยก็จะยิ่งต่อต้านพม่าหนักขึ้นเช่นกัน !!
เสียงระเบิดอาร์พีจี และกระสุนปืน ค.60 ที่ตกเข้าใส่ตลาดริมเมย ศูนย์การค้าแม่เมยซิตี้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จ.เมียวดี ประเทศพม่า ส่งผลให้คนไทยและพม่าบาดเจ็บนับสิบราย ส่วนฝั่งพม่าต้องสังเวยไปหลายศพไม่ผิดไปจากความคาดหมายมากนัก
เค้าลางของเหตุปะทะเดือดในฝั่งพม่า โดยเฉพาะฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด ซึ่งถือเป็นด่านการค้าชายแดนอันดับต้นๆ ของไทยกับพม่าเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ซึ่งถือเป็นวันเลือกตั้งใหญ่ในพม่า
ในวันนั้นเอง รัฐบาลทหารพม่าได้สั่งการด่วนให้ทหาร ตำรวจ และกองกำลังพิทักษ์ชายแดน(บีจีเอฟ) กลุ่มกะเหรี่ยงดีเคบีเอ ที่ยอมขึ้นกับฝ่ายพม่า กระจายกำลังไปตามฐานที่มั่น และรักษาสถานที่ราชการในเมืองเมียวดีอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ
ข่าวกรองของกองทัพพม่าได้ข่าวว่า กองกำลังกะเหรี่ยงดีเคบีเอ (กะเหรี่ยงพุทธ) กลุ่ม พ.อ.นะเคามวย ผบ.ค่ายวาเล่ย์ จับมือกับ กองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) เคลื่อนกำลังทหารทั้งหมด ราว 500 นาย เข้ามาประชิดด้านใต้และด้านเหนือของเมียวดี
การเคลื่อนกำลังจำนวนมาก อย่างเร่งรีบผิดปกติดังกล่าวเชื่อได้ว่าจะนำไปสู่การปะทะเดือดระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกับทหารฝ่ายต่อต้านรัฐบาลแน่นอน
ที่สำคัญ ในวันเดียวกันก็มีเหตุกองกำลังไม่ทราบฝ่ายใช้อาวุธปืนค. 60 ยิงใส่เมืองกอกาเลก อยู่ลึกจากชายแดนไทย-พม่าราว 50 กิโลเมตร แต่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย...คล้ายเป็นการส่งสัญญาณต่อต้านการจัดการเลือกตั้งของรัฐบาลทหารพม่า
ดังนั้น พ.อ.สุภโชค ธวัชพีระชัย ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 อ.แม่สอด จึงสั่งการให้ทหารไทยตรึงแนวชายแดน ด้าน ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด ไว้ทั้งหมด เพราะมั่นใจว่าจะต้องมีการปะทะกันระหว่างทหารพม่ากับชนกลุ่มน้อยแน่
รุ่งขึ้น คือในวันที่ 8 พฤศจิกายน กำลังพลทั้งสองฝ่ายก็เปิดฉากใช้ทั้งอาวุธหนัก และอาวุธประจำกายยิงถล่มกันอย่างดุเดือด ซึ่งนอกจากจะสร้างความเสียหายรุนแรงต่ออาคารบ้านเรือนในฝั่งพม่าแล้ว กระสุนปืนค.หลายนัดยังพลาดเข้ามาตกใส่อาคารบ้านเรือนฝั่งไทยด้วย
กำลังทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 และทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 จึงประสานกับตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้าตรึงแนวชายแดน และห้ามประชาชนเข้าไปยังบริเวณตลาดริมเมย และตามแนวชายแดนเพื่อความปลอดภัย
การข่าวรายงานว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุปะทะเดือด ทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอพร้อมอาวุธครบมือ ได้เข้าไปไปยึดสถานที่ต่างๆ ใน จ.เมียวดี ตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง
ขณะที่ฝ่ายพม่าพยายามเจรจา แต่ไม่เป็นผล จึงมีการเสริมกำลังทหารมาเพื่อปราบปรามฝ่ายดีเคบีเอ และเมื่อผลการเจรจาเมื่อเช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน ล้มเหลว การใช้กำลังเพื่อผลักดันชนกลุ่มน้อยจึงเริ่มขึ้นทันที
สำหรับ "เบื้องลึก-เบื้องหลัง" ของการปะทะเดือดที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งใหญ่ในพม่าเพียง 1 วัน ชัดเจนว่า เป็นการส่งสัญญาณต่อต้านการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในพม่า
ส่วนกองกำลังที่เปิดฉากสู้รบกับทหารพม่า คือ กองกำลังทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ ภายใต้การนำของ พ.อ.นะเคามวย ผู้บัญชาการกองทัพกะเหรี่ยงดีเคบีเอ ที่มีกำลังติดอาวุธราว 2,000 นาย อยู่ทางด้านใต้ชายแดนไทย-พม่า เขตรอยต่อตั้งแต่ จ.ตาก-กาญจนบุรี
สาเหตุความไม่พอใจของชนกลุ่มน้อยจนนำมาสู่การจับอาวุธขึ้นห้ำหั่นกัน คือ ความไม่พอใจที่ทางการพม่าต้องการให้กำลังกะเหรี่ยงดีเคบีเอ (กะเหรี่ยงพุทธ) แปรสภาพมาเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ)
ที่สำคัญ นโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลพม่าประกาศจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ซึ่งหมายความว่า พม่ากำลังใช้การเลือกตั้งเป็นข้ออ้างสำคัญเพื่อหวังยึดครองฐานที่มั่นของชนกลุ่มน้อยอย่างเบ็ดเสร็จนั่นเอง
เมื่อกะเหรี่ยงดีเคบีเอไม่ยอม การปะทะเดือดจึงเลี่ยงไม่ได้ แม้กำลังกะเหรี่ยงดีเคบีเอบางส่วน เช่น กลุ่มของ พ.อ.หม่อง ชิตู่ ที่คุมกำลังทางด้านใต้ของ อ.แม่สอด ไปจนถึง อ.ท่าสองยาง และแนวรอยต่อ จ.แม่ฮ่องสอน จะยินยอมเป็นกองกำลังบีจีเอฟก็ตาม
ในห้วงเวลาต่อจากนี้ไปจนหมดช่วงฤดูแล้ง การต่อสู้ระหว่างทหารรัฐบาลพม่ากับชนกลุ่มน้อยจะทวีความเข้มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการแปรสภาพไปเป็นกองกำลังบีจีเอฟทำให้ชนกลุ่มน้อยต้องสูญเสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะการจำกัดไม่ให้เก็บภาษีสินค้าตามท่าข้ามต่างๆ
เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัว ประกอบกับความแค้นแต่เก่าก่อน ทำให้แนวรบด้านตะวันตกร้อนทะลุปรอทขึ้นมาอีกครั้ง !!
สมจิต รุ่งจำรัสรัศมี